“You’re so dark. Are you sure you’re not from the DC universe?”
จริง ๆ แล้ว หากจะให้เขียนรีวิวหนัง Deadpool 2 ผู้เขียนอาจจะสามารถ copy รีวิวจาก Deadpool ภาคแรกมาใช้ได้เกือบจะทั้งหมด เพราะหนังภาคต่อค่อนข้างรักษาลายเซ็นจากภาคแรกอย่างดี เช่น หนังกวนตีน ขี้แซะอย่างไร ก็ยังคงกวนตีน ขี้แซะ อยู่อย่างเสมอต้นเสมอปลาย มีความหยาบคายและฉากแอ็คชั่นก็ยังรุนแรงสมเรต 15+ อยู่เหมือนเดิม (เป็นหนังฮีโร่ เป็นหนังครอบครัวชนิดที่ไม่ควรพาเด็กไปดู สงสารเด็ก ฮิอ~)
แต่ฉากแอ็คชั่นที่แต่เดิมก็ค่อนข้างสดและแปลกใหม่อยู่แล้ว ภาคนี้มันส์สะใจและเลือดพุ่งกว่าเดิม ด้วย Deadpool 2 กำกับโดย David Leitch (จาก John Wick และ Atomic Blonde) ซึ่งช่วงต้นเครดิต จะขึ้นจอมาด้วยว่า Directed by One of the Guys Who Killed John Wick’s Dog
Deadpool (Ryan Reynolds จาก X-Men Origins: Wolverine และ Green Lantern) ยังเป็น Wade คนเกรียนคนเดิม ไม่ได้ต่อสู้เพื่อผดุงความยุติธรรม เพื่อชาติ หรือเพื่อประชาชน ทุกสิ่งที่เขาทำนั้นเพื่อตัวเขาเอง ส่วนใหญ่ก็คือมักจะสำคัญหรือเกี่ยวข้องกับ Vanessa (Morena Baccarin จาก Spy) ผู้หญิงคนเดียวที่เขารักและกำลังสร้างครอบครัวด้วย หรือไม่ก็แก้แค้นคนที่เขาเกลียด
เนื้อเรื่องหลัก ๆ ของภาคนี้คือ Wade ต้องช่วย Russell (Julian Dennison จาก Hunt for the Wilderpeople) เด็กมนุษย์กลายพันธุ์วัย 14 ปีให้รอดพ้นจากการตามฆ่าของ Nathan Summers หรือ Cable (Josh Brolin จาก Avengers: Infinity War) ผู้มาจากโลกอนาคต แต่เนื่องจาก Cable ไม่ธรรมดา มีความเป็นคนเหล็กและมีอาวุธล้ำหน้าทันสมัยแบบคนเหล็ก Terminator ทำให้ Wade ต้องฟอร์มทีม X-Force ขึ้นมา (เขาปฏิเสธการใช้คำว่า X-Men ด้วยเหตุผลว่ามัน sexist) หนึ่งในนั้น ได้แก่ Domino (Zazie Beetz จาก Geostorm) สาวผู้มี superpower คือ “โชค” (โชคดีเป็นพลังอย่างไร ต้องไปดูด้วยตากันเอาเอง)
เพื่อนเก่าจากบ้าน X-Men อย่าง Colossus (Stefan Kapicic) กับ Negasonic Teenage Warhead (Brianna Hildebrand) ก็มาร่วมเป็นแบ็คอัพ ส่วนเพื่อนเก่าอย่างคนขับแท็กซี่ Dopinder (Karan Soni), บาร์เทนเดอร์ Weasel (T.J. Miller), และป้า Al อดีตรูมเมทตาบอด (Leslie Uggams) ก็ยังวนเวียนมาร่วมวงเหมือนเคย ดังนั้นใครที่เคยดูภาคแรกมาก่อน จะเก๊ตใครเป็นใคร เข้าใจความผูกพันกับตัวละคร และน่าจะดูสนุกกว่าคนที่ไม่เคยดู (แต่คนบางคน มาภาคนี้ ก็ออกน้อยไปหน่อย จนเหมือนแทบไม่มีบท)
และเช่นเดิม ผู้ที่จะดูหนังเรื่องนี้สนุกที่สุดน่าจะต้องมีความรู้จัก pop-culture ประมาณหนึ่งถึงจะเก๊ตมุกต่าง ๆ ในหนัง แต่โดยส่วนตัวเราคิดว่าภาคนี้หนังและเพลงที่ถูกเอามาล้อในหนังค่อนข้างแมสขึ้นและไม่เก่าจนเกินไปสำหรับคนยุคหลัง ๆ เช่น Terminator, Batman v Superman, Frozen, Logan ฯลฯ
หนังเรื่องนี้เค้าก็แซะทุกสิ่งอย่าง แซะเก่ง แม้กระทั่งตัวเอง มันก็ยังจะแซะ กล้าเล่น หลายมุกมีความละเอียดอ่อนกับประเด็น racist ด้วยนิดนึง ก็คงอยู่ที่คนดูแต่ละคนจะตีความเจตนาและรู้สึกแตกต่างกันไป สำหรับเรา ก็รู้สึกว่าบางจุดก็แอบแรงไปนิด แต่ด้วยความที่เราไม่ได้รู้สึกโดนกระทบกระทั่งโดนตรง จึงไม่ได้รู้สึกคิดลบอะไรมาก
โดยรวมเราคิดว่า ถึงแม้สาระจะน้อยและพล็อตไม่ค่อยมีอะไรเหมือนเดิม ภาคนี้สนุกกว่าและดีกว่าภาคแรก โปรดักชั่นดูลงทุนขึ้น เป็นหนังที่คุณคาดหวังกับมันได้ เพราะมันมักทำอะไรเกินความคาดหมายหรือทำอะไร ๆ ในแบบที่คนดูหนังทั่วไปคาดไม่ถึงว่ามันจะกล้าทำ มันมาสุด จนถึงจุดที่ทำอะไรก็ไม่ผิด (ขอกระซิบว่า ชอบมากกว่า Avengers: Infinity War)
ตอนจบมี end credit 2 อัน ซึ่งฮามาก ๆ ๆ ฮาจนต้องขอบอกว่า “ของมันต้องดู” เราคิดว่า มุก end credit นี้ เขาคงอาจจะอยากจะเล่นมาตั้งแต่ภาคแรกละล่ะ แต่แค่ ณ ตอนนั้นยังไม่กล้าเล่น จนมากระทั่งตอนนี้ หลังจากที่หนังภาคแรกประสบความสำเร็จไปแล้ว เขาจึงกล้าเล่นอย่างมั่นหน้า ปังจริง ๆ
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 8.5/10
101 comments
Comments are closed.