Dora เป็นการ์ตูนซีรีส์มาก่อนที่จะมาเป็นหนังฉบับคนแสดง เราไม่เคยดูฉบับการ์ตูน ดังนั้นบล็อกนี้จะพูดถึงแต่ตัวหนังที่กำกับโดย James Bobin (จาก Alice Through the Looking Glass) อย่างเดียว
Dora (Isabela Moner จาก Transformers: The Last Knight, Sicario: Day of the Soldado, และ Instant Family) เป็นเด็กหญิงอายุ 16 ที่เติบโตในป่าเหมือนทาร์ซานและเมาคลี แต่ถูกเลี้ยงโดยพ่อแม่ดีกรีโปรเฟสเซอร์ (Michael Peña จาก Ant-Man และ Eva Longoria จาก Desperate Housewives ตามลำดับ) จึงโตมาเป็นนักสำรวจที่ฉลาดเฉลียว คิดบวก และโลกสวย
วันหนึ่งพ่อกับแม่ต้องไปตามหาและสำรวจ Parapata นครที่สาปสูญ Dora จึงถูกส่งไปอยู่กับญาติที่ LA และได้เข้าเรียนไฮสคูลที่เดียวกับ Diego (Jeff Wahlberg หลานแท้ ๆ ของ Mark Walhberg)
Dora มาอยู่ในเมืองได้ไม่นาน ก็มีผู้ร้ายลักพาตัวเธอกับเพื่อน ๆ ของเธอ รวมถึง Diego บินข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังป่าอีกครั้ง เพราะต้องการให้ Dora พาไปยังที่ที่พ่อแม่ของเธออยู่ และพาไปยังขุมทองที่เมือง Parapata แต่ระหว่างทาง ก็ได้ผู้ใหญ่ใจดี Alejandro (Eugenio Derbez จาก Geostorm) มาช่วยพาหลบหนีและช่วยตามหาพ่อแม่ของเธอ
ในช่วงการผจญภัยในป่า ก็ฟีลเหมือน Indiana Jones ที่อยู่ในยุคปัจจุบันหน่อย ตัวเอกเป็นพวกตามหาโบราณสถานหรือขุมทรัพย์เพื่อการเรียนรู้และสำรวจ และก็มีตัวร้ายที่ต้องการไปที่แห่งนั้นเช่นกันแต่เพื่อแสวงหาทรัพย์สมบัติและความร่ำรวย ทั้งสองฝ่ายก็ต้องแย่งชิง ไล่ล่า แข่งขัน และไขปริศนาแต่ละด่าน จนกว่าจะไปถึงที่หมาย
ดู ๆ ไป ก็เหมือนเป็นพล็อตเก่า ๆ กับบริบทเก่า ๆ ที่เราเคยดูมาแล้วหลายเรื่อง แต่เอาจริง ๆ มันก็ไม่ได้ผิดที่จะซ้ำ แต่บริบทหลาย ๆ อย่างในหนังมันดูไม่เหมือนอยู่ในยุค 4.0 เอาซะเลย แต่ถ้าไปดูแบบไม่คิดอะไรมาก คิดซะว่าเป็นหนังเด็กดูเอาเพลิน ๆ ขำ ๆ ก็ไม่ได้แย่อะไรนัก มีหลายโมเมนต์ที่เราก็ขำและก็มองว่าน่ารักดี
อีกอย่างคือ หนังยังตัดความเป็นการ์ตูนได้ไม่ขาด เช่น ตัวร้ายที่ไร้ซึ่งมิติและพัฒนาการ ความโอเวอร์แอ็คติ้งต่าง ๆ รวมถึงตัวละครสัตว์ที่ยังพูดได้และทำนี่นั่นโน่นได้เสมือนมนุษย์ อย่างเจ้าสุนัขจิ้งจอก Swiper (ให้เสียงโดย Benicio Del Toro จาก Sicario) และลิง Boots (Danny Trejo) ซึ่งทำให้หนังห่างไกลจากคำว่าสมจริงเข้าไปอีก
ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานั้นอาจเป็นเรื่องที่ให้อภัยหรือมองข้ามกันได้ หากมีช่วงไขปริศนาที่น่าสนใจ แต่ Dora and the Lost City of Gold มันไม่ได้มีปริศนาที่น่าค้นหาและการไขปริศนาที่หวือหวาอะไรขนาดนั้นด้วย ทุกอย่างมันดูง่ายดายไปซะหมด ไม่มีชั้นเชิง เอาง่าย ๆ ก็เหมือนหนังที่ทำให้เด็ก preschool ดูแบบเรื่อย ๆ เปื่อย ๆ
โดยสรุป ถึงแม้ตัวละคร Dora จะโตเป็นสาวแล้ว แต่ Dora and the Lost City of Gold ก็ยังเป็นหนังที่ทำมาเพื่อเด็ก ๆ ที่เล็กกว่าวัยไฮสคูลลงไปมากกว่า เด็กทุกเพศทุกวัยสามารถดูได้ขำ ๆ แบบไม่มีพิษมีภัย ส่วนผู้ใหญ่อย่างเรา ก็ต้องไม่พกสมองเข้าไปดู คิดซะว่าไปดูหนังน่ารัก ๆ เรื่องหนึ่ง มีข้อคิดสอนใจ หรือพาเด็ก ๆ ไปดู ก็น่าจะแฮปปี้กันทั้งแฟมิลี่
ตอนนี้เมเจอร์ฯ เค้าก็มีโรงหนังแบบ Kids Cinema ที่ภายในโรงมีบริการเครื่องเล่น Play Land พร้อมบ่อบอลหลากสีสัน และสไลเดอร์ไว้ให้เด็ก ๆ ได้เล่นกัน โดยเด็ก ๆ จะมีห้องน้ำเด็กและมีเจ้าหน้าที่ประจำโรงภาพยนตร์คอยดูแลอย่างใกล้ชิดด้วย ผู้ใหญ่ก็นั่งดูหนังเบาสมองได้อย่างเบาใจในโรงเดียวกัน
คะแนนตามความชอบส่วนตัวสำหรับหนัง Dora and the Lost City of Gold = 6.5/10 (อิชั้นไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของเรื่องนี้)
40 comments
Comments are closed.