“We all float down here, you’ll float too…”
หลายปีให้หลังมานี้ หนังที่สร้างจากหนังสือของ Stephen King ออกมาค่อนข้างน่าผิดหวัง รวมถึง The Dark Tower ที่เพิ่งฉายไปไม่กี่สัปดาห์ก่อน ก็โดนสับเละ ทั้งที่ได้ดาราใหญ่อย่าง Matthew McConaughey และ Idris Elba มาแสดงนำ
แต่ล่าสุด เมื่อ New Line Cinema, Warner Bros. หยิบนิยายสยองขวัญเรื่อง It (1986) มารีเมคเป็นภาพยนตร์ ภายใต้การกำกับของ Andy Muschietti ผู้กำกับเรื่อง Mama (เมื่อปี 1990 เคยเป็น tv miniseries นำแสดงโดย Tim Curry) แฟน ๆ ของ Stephen King ดูเหมือนจะกลับมามีความหวังอีกครั้งที่จะได้เห็นตัวละครและเรื่องราวที่ตัวเองชื่นชอบมามีชีวิตโลดแล่นอยู่บนจอยักษ์
บางคนบอกว่าเรื่อง It (2017) มีความคล้าย Stand by Me (1986) และซีรีส์ Stranger Things (2016-present) ที่กำลังโด่งดัง แต่เราไม่เคยดูสองเรื่องดังกล่าว เอาเป็นว่าเราจะพูดถึงแค่เรื่อง It นี่อย่างเดียวละกัน ไม่เปรียบเทียบกับใคร เพราะอย่างไรต้นฉบับ It เขาก็มาตั้งแต่ก่อนเราเกิดอยู่แล้ว คงไม่มีใครหาว่า It ไปลอกใครหรอกเนอะ
It เป็นหนังเด็กที่ไม่เด็ก (งงมั้ย?) เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับแก๊งเด็กขี้แพ้ (The Losers’ Club) ทั้งเจ็ดในเมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่ง ที่ต้องเผชิญหน้า หลบหนี และต่อสู้กับความกลัวของตนที่มาในรูปแบบของ A Killing Clown หรือตัวตลก Pennywise (Bill Skarsgård จาก Atomic Blonde) ซึ่งกินความกลัวของเด็ก ๆ เป็นอาหาร แล้วนอกจากพวกเขาจะมีศัตรูเป็นตัวตลกซึ่งเป็น evil แล้ว ยังต้องพบเจอกับ monsters ในคราบมนุษย์อีก ไม่ว่าจะเป็น The Bowers Gang หรือพวก bully ประจำโรงเรียน นำโดย Henry Bowers (Nicholas Hamilton จาก The Dark Tower) และผู้ใหญ่ผู้เพิกเฉย รวมถึงพ่อแม่ผู้ปกครองที่โหดร้ายทารุณของพวกเขาเอง
ตัวตลก Pennywise เป็นตัวการที่ทำให้เด็ก ๆ ในเมืองหายไปทีละคน ๆ รวมถึง Georgie (Jackson Robert Scott) น้องชายของ Bill (Jaeden Lieberher จาก St. Vincent) ที่สาบสูญไปแถว ๆ ท่อระบายน้ำเมื่อ ต.ค. 1988 ขณะไปเล่นล่องเรือกระดาษในวันที่ฝนตก เวลาผ่านไปเกือบปี พ่อแม่ถอดใจแล้ว แต่ Bill ยังรู้สึกผิดที่ปล่อยให้น้องออกไปเล่นคนเดียว เขาไม่ยอมแพ้ และชวนเพื่อน ๆ ร่วมแก๊งขี้แพ้ไปตามหาน้อง
เด็ก ๆ แก๊งขี้แพ้ของ Bill ต่างมี personality และความกลัวที่แตกต่างกัน:
- Eddie (Jack Dylan Grazer) ที่เป็นโรค Hypochondriasis เพราะแม่ของเขาที่เลี้ยงเขาแบบ overprotect ราวกับเขาเป็นไข่ในหิน
- Stanley (Wyatt Oleff จาก Guardians of the Galaxy) เด็กที่มีความเป๊ะ ๆ เชื้อสายยิวที่กำลังเข้าพิธี Bar Mitzvah (พิธีฉลองเด็กอายุ 13 ปีของยิว) และกังวลว่าจะทำอะไรผิดพลาด
- Richie (Finn Wolfhard จากซีรีส์ Stranger Things) เด็กฉลาดแต่พูดมาก และกลัวตัวตลกกว่าใคร ๆ
- Mike (Chosen Jacobs) เด็กผิวสีคนเดียวในเมือง บ้านทำธุรกิจขายเนื้อ และเคยสูญเสียพ่อแม่จากเหตุเพลิงไหม้
- Ben (Jeremy Ray Taylor) เด็กใหม่ อ้วนเนิร์ด สนใจประวัติศาสตร์ท้องถิ่น และแอบหลงรัก Bevery
- Beverly (Sophia Lillis) เด็กหญิงคนเดียวในกลุ่ม ที่ถูกปล่อยข่าวลือว่าร่าน แต่จริง ๆ เธอมีปมเรื่องพ่อ และกลัวการโตเป็นสาว
ดังนั้น It จึงเป็นหนังสยองขวัญ coming-of-age ที่เกี่ยวกับความกลัวและความอ่อนแอในวัยเด็ก คาบเกี่ยวกับความกลัวที่สัมพันธ์กับการเริ่มเป็นผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นความกลัวเรื่องเพศ ความกลัวเรื่องการได้รับการยอมรับจากสังคม เช่น Stan ที่กำลังกังวลในการเข้าพิธี Bar Mitzvahทางศาสนาเขา หรือ Bev ที่กังวลกับประจำเดือนที่มาครั้งแรก ซึ่งทุกคนจะต้องก้าวข้ามผ่านให้ได้เพื่อที่จะเติบโต
ก็ตามประสาเด็กแหละเนาะ ปัญหาใด ๆ ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ราวกับพรุ่งนี้โลกจะแตกเสมอ เพราะส่วนใหญ่มันเป็นสิ่งที่เด็กยังไม่เคยเจอมาก่อน ภูมิต้านทานต่อปัญหายังไม่สูง จะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ มันก็อาจจะ panic มากกว่าผู้ที่เคยเจอมันมาก่อนแล้ว ดังนั้นจึงไม่แปลกถ้าเด็กเห็นอะไรแล้วกลัว แต่พอเรียกผู้ใหญ่มาดู แล้วผู้ใหญ่มองว่าไม่เห็นมีอะไร แล้วก็ปล่อยไป ไม่สนใจช่วยสอนให้ลูกหลานเข้าใจและพาก้าวข้ามผ่านมันมา
ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่รู้เพราะ Stephen King มีปมตอนเด็กเหมือนเราหรือเปล่า นั่นคือการกลัวตัวตลก เขาจึงเอาตัวตลกมาเป็นตัวแทนที่กลืนกินความกลัวรูปแบบต่าง ๆ ของเด็ก ๆ (จำได้ว่า ตอนเด็ก ๆ ในห้างฯ ชอบมีตัวตลกมาแจกขนม ลูกอม ลูกโป่ง แล้วเรากลัวจนร้องไห้ทุกครั้ง แม้แต่ตัวหน้าร้านแมคโดนัลด์ เรายังไม่อยากเข้าใกล้)
ตัวตลกในเรื่องจะตามหลอกหลอนและจ้องจะจับเด็กที่มีความกลัว โดยการปรากฏกายแต่ละครั้งก็จะขึ้นอยู่กับความกลัวเฉพาะของเด็กคนนั้น ๆ เช่น ปกติ Stan จะเป็นคนเป๊ะ ๆ เขาอาจจะมีความเกลียดรูป abstract ที่บิด ๆ เบี้ยว ๆ ผิดรูปผิดทรง ผีตัวตลกก็จะชอบโผล่มาหลอกหลอนแบบหน้าตาบูด ๆ เบี้ยว ๆ แบบภาพนั้น หรือ Bev ที่กังวลกับเมนส์ ตัวตลกก็จะแกล้งโดยการส่งเลือดท่วม ๆ มาให้นางเยอะ ๆ เป็นต้น (นึกไปนึกมา ก็นึกถึงตัว Boggart ใน Harry Potter ภาค 3)
ส่วนผู้ใหญ่นี่แทบไม่มีบทบาทอะไรในเรื่อง แต่เท่าที่โผล่มา ส่วนใหญ่คือเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ทำอะไร (ลอยไปลอยมาเป็นลูกโป่ง) บ้างก็โหดร้าย หื่นกาม หรือเลี้ยงลูกแบบผิด ๆ จนทำให้ลูกกลายเป็นเด็กมีปม มีปัญหา หรือมีพฤติกรรมที่เป็นพิษภัยต่อสังคม เช่น ส่วนหนึ่งที่ Henry เป็นอันธพาลชอบรังแกเด็กที่อ่อนแอกว่า ก็เพราะที่บ้าน เขาถูกพ่อของตัวเองข่มตลอดเวลา ทั้งนี้ Stephen King ต้องการจะสื่อด้วยนั่นเองว่า “Adults are the real monsters,”
อย่างที่เราบอกตอนต้นของบล็อกนี้ It (2017) นี่เป็นหนึ่งในหนังที่ดีที่สุดที่สร้างจากหนังสือของ Stephen King เพราะ Muschietti เก็บรายละเอียดและถ่ายทอดแก่นหรือหัวใจสำคัญของหนังสือได้อย่างดีเยี่ยม ไม่เหมือนหนังที่สร้างจากนิยายของ King หลาย ๆ เรื่องที่มัวแต่จะขายแต่ความ thriller หรือ horror โดยทิ้ง messages สำคัญ ๆ ของต้นฉบับไปแทบสิ้น แถมความ thriller หรือ horror ก็ดันทำได้ไม่สุดอีก
สำหรับเรื่อง It (2017) นี้ นอกจากจะรักษาแก่นสำคัญของเรื่องได้อย่างครบถ้วนแล้ว หนังยังสร้างบรรยากาศความหลอนอย่างมีรสนิยม ไม่เหมือนหนังผีหรือหนังสยองขวัญทั่วไปที่เน้นใส่ซาวนด์หนัก ๆ แบบตุ้งแช่ ๆ น่ารำคาญ สิ่งที่เราชอบใน It (2017) อย่างหนึ่งก็คืองานถ่ายภาพ โปรดักชันดีไซน์ และการจัดแสง ซึ่งสวยงามและบิลด์อารมณ์คนดูได้อย่างดี
ถึงแม้เราจะรู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นเรื่องแต่ง เป็นจินตนาการที่ดูเกินจริงไปมาก แต่เราก็รู้สึกลุ้น ติดตาม และอยากให้กำลังใจเด็ก ๆ ทุกคนในเรื่องให้ก้ามข้ามผ่านความกลัวและความอ่อนแอทั้งหลายในใจหรือจิตใต้สำนึกของเขาให้ได้
เด็ก ๆ ที่อยู่ในแก๊งเด็กขี้แพ้ที่ผ่านการแคสต์มาอย่างดีมากคือส่วนสำคัญที่ทำให้หนังสนุกขึ้น ตลก และมีสีสัน อย่างที่บอก ด้วย personality และความกลัวที่แตกต่างกัน พอมาอยู่ด้วยกัน มันเลยเคมีเข้ากัน
และยิ่งเวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน (ตามคติ รวมกันเราอยู่ แยกกันเราตาย) เราไม่รู้สึกว่าพวกเขาคือ losers เลยแม้แต่น้อย มันทำให้เราสัมผัสได้ถึงพลังแห่งมิตรภาพและความสามัคคี ที่จะช่วยให้พวกเขาชนะศัตรู ก้าวข้ามผ่านปัญหาและความกลัวไปได้ โดยที่เราไม่รู้สึกว่าถูกยัดเยียดเรื่องสามัคคีคือพลังเหมือนหนังรวมกระบวนการพาวเวอร์เรนเจอร์สแต่อย่างใด
ช่วงที่เด็กต่อสู้กับปิศาจตัวตลกก็ทำได้มันส์ดีที่สุดเท่าที่เด็ก ๆ ม.ต้น กลุ่มหนึ่งจะสู้ให้คนดูดูแล้วสนุกด้วยได้ แต่เวลาเราดู เราต้องไม่คิดว่า เด็กกำลังกับผู้ร้ายหรือโจรเรียกค่าไถ่ อะไรประมาณนั้นนะ เราต้องคิดว่า เด็กกำลังต่อสู้กับความกลัวในจิตใจของตัวเองอยู่ ซึ่งมันเป็นการต่อสู้ที่ไม่ง่ายเลย นึกภาพเราเป็นเด็กพวกนั้น เราก็ไม่รู้ว่าตัวเราเองจะกล้าพอมั้ยที่จะเผชิญหน้าต่อสู้กับสิ่งที่เราหวาดกลัวที่สุด
ข้อเสียของหนังเรื่องนี้คือ ตัวละครเยอะแยะ กว่าหนังจะ introduce ตัวละครหลักและความกลัวของแต่ละคนได้หมดก็ใช้เวลาไปโข รวมทั้งสิ้นหนังเลยมีความยาวถึง 2 ชั่วโมง 15 นาที ซึ่งบางช่วง คนบางคนอาจเบื่อหรือหลุดโฟกัสได้
อย่างไรก็ตาม ต้องเข้าใจด้วยว่า หนังเขาพยายามคงสิ่งสำคัญในหนังสือให้ไม่ขาดตกบกพร่อง และในภาคนี้เขาก็เพิ่งได้เล่าแค่ส่วน Chapter 1 ของหนังสือนิยายอย่างเดียว ในส่วนของ Chapter 2 ซึ่งเป็นตอนที่เด็ก ๆ โตแล้ว (ประมาณ 27 ปีต่อไป) จะมาเล่าต่อในหนังภาคที่ 2 ซึ่งตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของการเขียนบทภาพยนตร์
สำหรับ It (2017) Chapter 1 นี้ คะแนนตามความชอบส่วนตัวของเราอยู่ที่ 8/10
มาก้าวข้ามผ่านความกลัวไปด้วยกัน ตั้งแต่ 7 ก.ย. 2017 นี้ ในโรงภาพยนตร์ (ระบบ IMAX และ 4DX ก็มีให้เลือกชมนะจะบอกให้)
37 comments
Comments are closed.