เมื่อสิบปีก่อน มีหนังแนว Musical เรื่อง Mamma Mia! (2008) เล่าเรื่องราวชุลมุนบนเกาะแห่งหนึ่งของกรีซ เมื่อเด็กสาว Sophie (Amanda Seyfried จาก Mean Girls และ In Time) กำลังจะแต่งงานกับ Sky (Dominic Cooper จาก Captain America) แล้วเธอต้องการให้พ่อของเธอมาร่วมงานด้วย
แต่ปัญหาคือ Donna Sheridan (Meryl Streep จาก The Devil Wears Prada) แม่ของเธอ ไม่แน่ใจว่าใครเป็นพ่อของ Sophie ระหว่าง Sam (Pierce Brosnan จาก 007: Tomorrow Never Dies), Harry (Colin Firth จาก The King’s Speech), และ Bill (Stellan Skarsgård จาก Thor) เธอจึงชวนชายทั้งสามคนมาร่วมงานหมดเลย
ในภาคนี้ Mamma Mia! Here We Go Again เรื่องราวในหนังต่อจากภาคแรกในลักษณะของห้าปีผ่านไป (แต่ตัวหนังจริง ๆ ปล่อยออกมาห่างกันสิบปี) Sophie กับ Sky แยกกันอยู่เพราะฝ่ายชายไปเรียนและทำงานในแมนฮัตตัน ส่วน Sophie ก็กำลังง่วนกับการเปิดโรงแรม Bella Donna เพื่อสานความฝันของแม่ให้สำเร็จ โดยมี Sam (ผู้ที่เชื่อว่าน่าจะเป็นพ่อที่สุดแล้ว) คอยช่วยเหลือ และจ้าง Fernando Cienfuegos (Andy Garcia จาก Ocean’s Eleven) มาเป็นผู้จัดการโรงแรม
Sophie เชิญทุกคนที่เราคุ้นเคยมางานเลี้ยงเปิดตัวโรงแรม ตั้งแต่ป้า Tanya (Christine Baranski จาก Into the Woods) และ Rosie (Julie Walters จาก Harry Potter) เพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมวง (วง Donna and the Dynamos) ของ Donna รวมถึง Harry และ Bill ด้วย แต่คุณพ่อทูนหัวสองคนนี้ติดงานในวันดังกล่าวพอดี นอกจากนี้ก็มี Ruby คุณยายของ Sophie (Cher จาก Moonstruck) นักร้องดังที่มาโดยไม่ได้รับเชิญอีกต่างหาก
Mamma Mia! Here We Go Again เล่าเรื่องราวสลับไปมา ระหว่างปัจจุบันที่ Sophie กำลังเตรียมเปิดโรงแรม กับอดีตในปี 1979 สมัยที่ Donna วัยสาวสะพรั่ง (Lily James จาก Cinderella และ Baby Driver) รวมถึง Tanya (Jessica Keenan Wynn) และ Rosie (Alexa Davies) เพิ่งจบการศึกษาจาก Oxford และเดินทางไปสถานที่ต่าง ๆ ก่อนมาลงเอยที่เกาะในเรื่อง โดยระหว่างทางก็ไปเจอกับ Harry วัยหนุ่ม (Hugh Skinner จาก Les Misérables), Bill วัยหนุ่ม (Josh Dylan จาก Allied), และ Sam วัยหนุ่ม (Jeremy Irvine จาก Now Is Good) ตามลำดับ
โดยรวม สำหรับเรา เราคิดว่าภาคนี้ดูโตขึ้นและสนุกขึ้นกว่าภาคแรก ยิ่งเข้าโรงช่วงเทศกาลวันแม่ของไทยด้วยแล้วก็ยิ่งใช่ใหญ่ เพราะเนื้อเรื่อง โดยเฉพาะองก์สุดท้าย ส่งเสริมบทบาทและความสัมพันธ์แม่ลูกอย่างชัดเจนกินใจ การแสดงของ Lily James เอง ก็สดใส มีเสน่ห์ สวยน่ามอง และเป็น Donna วัยสาวได้ดีกว่าที่เราจินตนาการไว้ตอนแรกอย่างมาก การตัดต่อสลับไปมาระหว่างสองยุคก็ทำได้สมูธและสื่อนัยสำคัญได้ดีมากจนถึงช่วงบทสรุปของหนัง
ในส่วนของเพลงประกอบในหนัง ยังคงไพเราะและชวนเต้นตาม (อย่างน้อยก็กระดิกขาในโรง) ได้เหมือนเช่นที่ภาคแรกเคยทำมา แต่เนื่องด้วยเนื้อเรื่องของหนังที่เข้าถึงคนหมู่มากได้มากกว่าภาคที่แล้ว เราจึงรู้สึกอินกับเพลงของภาคนี้มากกว่า ทั้งที่ปกติเราไม่ใช่คนอินอะไรกับหนังแนวมิวสิคัลสักเท่าไหร่
ตัวละครนอกเหนือจาก Lily James และ Amanda Seyfried อันได้แก่ บรรดาพ่อ ๆ และป้า ๆ (เพื่อนสาวของแม่) จนไปถึงตัวประกอบอย่างพนักงานตรวจคนเข้าเมืองก็ยังแย่งกันขโมยซีนกันอย่างน่ารัก ชวนยิ้ม ชวนขำกันทุกซีน แต่โดยส่วนตัวชอบลุง Colin Firth เพราะปกติไม่ค่อยได้เห็นลุงแกทำอะไรรั่ว ๆ ขนาดนี้สักเท่าไหร่ จะติดภาพเขาเป็นผู้ดีอังกฤษหรือหนุ่มใหญ่ผู้สุขุมนุ่มลึกแบบพี่ก้อง-สหรัถตลอดเลย
โดยสรุป Mamma Mia! Here We Go Again ไม่ใช่แค่หนัง musical เต้นไปเต้นมาและเล่าเรื่องความฝันของหญิงสาวคนหนึ่งอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่เป็นเรื่องราวของคนเป็นแม่เป็นลูก เป็นหนังครอบครัวที่เต็มอิ่มไปด้วยรอยยิ้ม ออกจากโรงมาด้วยความสุขเต็มหัวใจ
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 7.5/10
44 comments
Comments are closed.