ปีนี้เหมือนเป็นปีของหนังภาคต่อแฟรนไชส์ รีบู๊ท รีเมค ทั้งหลายแหล่ ตั้งแต่ Fast and Furious 7, Mad Max : Fury Road, Jurassic World, Terminator Genisys จนมาถึง Mission: Impossible – Rogue Nation หรือ MI5 เรื่องนี้
เรื่องย่อ Mission: Impossible – Rogue Nation
แม้ Brandt (Jeremy Renner จาก The Hurt Locker, The Bourne Legacy, Mission: Impossible – Ghost Protocol, The Avengers) จะพยายามอย่างสุดความสามารถ ทีม The Impossible Mission Force (IMF) ก็ยังไม่พ้นถูกสั่งยุบโดยการฟ้องร้องของ Hunley (Alec Baldwin จาก Still Alice) ผ.อ.หน่วย CIA
สายลับ Ethan Hunt (Tom Cruise จาก Mission: Impossible ทั้ง 4 ภาค, Jack Reacher, Edge of Tomorrow) จึงต้องปฏิบัติภารกิจสุดท้ายอย่างลับๆ นั่นก็คือการกำจัดองค์กรลับ Syndicate ที่อยู่ภายใต้การนำของ Solomon Lane (Sean Harris จาก Prometheus, ’71) แต่พลาดท่าถูกจับตัวได้ โชคดีที่ได้ Ilsa (Rebecca Ferguson จาก Hercules) ช่วยเหลือจนหนีไปได้
Ethan ต้องการสืบสาว Syndicate ต่อ รวมถึงสืบว่าสาวปริศนาขาบู๊คนนั้นคือใคร จึงเรียกตัวเพื่อนรักอย่าง Benji (Simon Pegg จาก Hector and the Search for Happiness และ Mission: Impossible – Ghost Protocol) เข้ามาช่วยภารกิจของเขาอีกครั้งที่เวียนนา ซึ่งต่อมา Brandt กับ Luther (Ving Rhames จาก Mission: Impossible, Dawn of the Dead) ก็ตามมาสมทบทีมด้วย
รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ Mission: Impossible – Rogue Nation
เกือบ 20 ปีแล้วที่แฟรนไชส์ MI ถือกำเนิดขึ้น จนคนดูอย่างเราก็เริ่มสงสัยว่าเมื่อไหร่ป๋า Tom Cruise จะวางมือ เพราะใน MI5 นี้ ป๋าก็อายุอานามล่อไป 53 แล้ว (ถึงแม้ป๋าจะยังหล่อไม่เปลี่ยนเลยก็ตาม)
Mission: Impossible (1996)
Mission: Impossible II (2000)
Mission: Impossible III (2006)
Mission: Impossible – Ghost Protocol (2011)
Mission: Impossible – Rogue Nation (2015)
เราดู MI มาครบทุกภาค ยอมรับว่ามันเป็นหนังป๊อปคอร์นที่สนุก มัน เว่อร์ และดูเพลิน แต่เราก็ไม่ได้ชอบมากมายถึงขั้นเป็นแฟนหนังเขา เอาจริงๆ จำอะไรเกี่ยวกับหนังแทบไม่ค่อยได้เลยด้วยซ้ำ นอกจากโฆษณาแฝงขายรถยี่ห้อหรูบินได้ (ซึ่งสุดท้ายก็พังเละตุ้มเป๊ะสิ้นทุกคัน) มิหนำซ้ำยังรู้สึกว่า ภารกิจสายลับต่างๆ ก็ค่อนข้างจำเจ ขายแต่ความเว่อร์วังของเทคโนโลยีที่ใช้และฉากเสี่ยงตายของพระเอกคนดัง
แต่สำหรับ Mission: Impossible – Rogue Nation หรือ MI5 นี้ ถือว่าสดใหม่และเหนือความคาดหมายสำหรับเราอยู่มาก นี่พิมพ์ไปก็ยังไม่อยากจะเชื่อตัวเองเลยว่าเรากำลังจะพิมพ์ชื่นชม “บท” หรือ “สคริปต์” ของหนังบู๊จริงๆ เพราะหนังบู๊ปกติสำหรับเรา จะเป็นหนังที่เน้นดูเอาบันเทิงหรือฉากแอ็คชั่นดูเอามันเท่านั้น ไม่ค่อยคาดหวังแก่นสารหรือสาระอะไรจากเนื้อเรื่องเลย
MI5 เซอร์ไพรส์เราตรงที่ หนังลดขายฉากเว่อร์วังต่างๆ ให้มันเรียลมากขึ้น และไปใส่ใจกับตัวบทแทน บทมีความซับซ้อนแยบคายมากขึ้น ตัวละครก็มีมิติมากขึ้น โดยรวมหนังจึงน่าสนใจมากขึ้น น่าติดตาม ไม่กลวงอย่างที่คิด…
แต่ปัญหามันอยู่ที่หนังพยายามเล่นปมซ้อนปมหรือตั้งใจพลิกแพลงตีลังกามากไปหน่อย เราเลยรู้สึกว่ามัน “เยอะ” ไปนิด บางจุดจึงอึนๆ เอ๊ะๆ อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร โดยรวมยังดูสนุกอยู่ ถึงแม้ภาคนี้จะไม่มีฉากคลาสสิคปีนไต่อะไรเด่นๆ เท่าภาคที่แล้วมานักก็ตาม
หรือถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ความรู้สึกของเรา ณ ขณะดู MI5 มันเหมือนกำลังนั่งเล่นรถไฟเหาะตีลังกา มันมีทั้งช่วงพีคที่โคตรลุ้นจิกเบาะ และช่วงที่รู้สึกว่ามันนานไปละ เอือยไปละ ก่อนจะกลับไปพีคอีกทีเป็นซีนๆ ช่วงๆ ไป
แต่อย่างไรก็ดี ซีนพีคๆ เขาก็ทำได้สุดจริงๆ และมีทีเด็ดมากกว่าฉากเกาะเครื่องบินที่เราได้ดูกันเทรลเลอร์ รับรองว่าสาวกไม่ผิดหวังแน่นอน มาครบทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ แต่เราชอบสุดๆ คือฉากในโอเปร่า (ไปดูเอง…)
และแน่นอนว่า ภาคนี้ก็ยังมีรถหรูๆ มายั่วน้ำลายเราเช่นเดิม โดยภาคนี้พระเอกของเราขับรถซีดาน เอ็ม 3 ของ BMW กับสปอร์ตไบก์ 1000rr ของ BMW เช่นกัน
ที่น่าประทับใจอีกอย่างนึงคือ ใน MI5 มีการกระจายบทให้คนอื่นที่ไม่ใช่ Tom Cruise มากขึ้น โดยเฉพาะ Simon Pegg ที่เป็นสีสันของเรื่องและขโมยซีนพระเอกตัวจริงอยู่หลายช็อตเลยทีเดียว (เออ จะว่าไปแล้ว MI5 มันก็มีมุกตลกเยอะขึ้นนะ เจริญรอยตาม Marvel หรือไม่ก็ Kingsman)
แต่ที่เท่สุดๆ ทั้งฉากเตะต่อย และฉากขับรถไล่ล่า โอ้โห เท่ไม่บันยะบันยัง เรายกนิ้วให้นางเอกของเรื่องอย่าง Rebecca Ferguson เลย บทนางเริ่ดมาก ไม่ใช่แค่เป็นนางนกต่อหรือลูกทีมธรรมดาเหมือนภาคก่อนๆ แต่นางมีบทบาทเทียบเท่า Tom Cruise เลยก็ว่าได้ มีความสำคัญในการดำเนินเรื่องมาก
นี่แหละ… หนึ่งในตัวแทนของยุค Female Protagonist ชอบนาง ไอดอลเลย~
โดยสรุป Mission: Impossible – Rogue Nation หรือ MI5 จัดเป็นหนังแอ็คชั่นสายลับที่สนุกเหมือนเดิม เท่ระเบิดระเบ้อ ดูเอาบันเทิงยังไงก็มันยังไงก็คุ้ม ไม่ต้องคิดมาก เข้าโรงแล้ว 30 ก.ค. นี้ ในโรงภาพยนตร์
ส่วนคะแนนตามความชอบส่วนตัวของเราอยู่ที่ 8.5/10 ละกันเนาะ :)
43 comments
รีวิวได้ดีครับ เข้าใจง่าย