PAN เวอร์ชั่น 2015 ของผู้กำกับ Joe Wright (Pride & Prejudice, Atonement, Anna Karenina) ไม่ถึงกับเป็นการตีความใหม่ หากแต่เป็นการเล่าเรื่อง prequel ของหนุ่มน้อยผู้ไม่มีวันเติบโต Peter Pan ที่พวกเราคุ้นเคย
เรื่องย่อ PAN
Peter (Levi Miller) โตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งหนึ่งที่ดูแลโดย Mother Barnabas (Kathy Burke) แม่ชีผู้ใจยักษ์ใจมาร ยักยอกอาหารเด็ก และยังแอบลักลอบขายเด็กให้แก๊งโจรสลัด Neverland ในตอนกลางคืน
Peter และเด็กๆ ถูกจับไปเป็นทาสแรงงานขุดเหมืองแร่ยิปซัมให้กัปตัน Blackbeard (Hugh Jackman จาก X-Men, Les Misérables) วันหนึ่ง Peter ถูกพบว่าเป็น “ผู้ถูกเลือก” ตามคำทำนายปรัมปราว่าจะมาฆ่า Blackbeard เขาจึงถูกจับขังคุก แต่ Hook (Garrett Hedlund จาก TRON: Legacy, Troy, Unbroken) กับ Sam Smiegel (Adeel Akhtar จาก The Dictator) มาช่วยไว้ เพราะเห็น Peter เป็นใบเบิกทางให้พวกเขาได้กลับบ้าน
ระหว่างการหลบหนี เรือบินของพวกเขาตกกลางป่า Neverland ทั้งสามได้พบกับ Princess Tiger Lily (Rooney Mara จาก The Social Network, The Girl with the Dragon Tattoo, Her) ลูกสาวของหัวหน้าเผ่า Piccaninny ซึ่งพอเธอรู้ว่า Peter เป็นใคร เธอก็สัญญาว่าจะช่วยพา Peter ไปพบ Mary แม่ของเขา (Amanda Seyfried จาก Mean Girls, In Time, Les Misérables, Dear John)
รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ PAN
ไม่รู้เพราะสร้างมาจากสตูดิโอเดียวกันรึเปล่า PAN เวอร์ชั่น prequel อันนี้จึงมีความละม้ายกับ Harry Potter ม้ากมาก ประมาณว่า Peter คือ Harry Potter แล้ว Blackbeard ก็คือ Lord Voldemort ผสมกับลุงกัปตันเคราดำใน Pirates of the Carribbean (และบางจุดก็เหมือนผสม Severus Snape)
เรื่องเริ่มตั้งแต่ Peter (เออ Peter Pan นั่นแหละ แต่ตอนแรกของเรื่องนางยังไม่มีสกุลรุนช่อง) เป็นเด็กกำพร้า ถูกแม่เอามาทิ้งไว้หน้าบ้านแม่ชีใจยักษ์กลางดึก เช่นเดียวกับ Harry Potter The Boy Who Lived ที่มีป๋า Hagrid แว๊นซ์มาส่งไว้ที่หน้าบ้าน number four, Privet Drive ของ Mr & Mrs Dursley ผู้ใจร้ายใจดำกลางดึก แต่ Peter ยังโชคดีกว่า Harry ตรงที่อย่างน้อยเขายังมี Nibs (Lewis MacDougall) เป็นเพื่อนรักที่แสนดีตั้งแต่เด็ก คล้ายๆ กับที่ Harry มี Ron ในตอนโต จากนั้น Peter ก็ได้ค้นพบว่าตัวเองเป็นคนพิเศษของโลก Neverland เป็น Half-Blood Prince หรือเจ้าชายเลือดผสม และมีคำทำนายเช่นเดียวกับ Harry ว่าจะเป็นคนมาทำลายล้างมารร้ายอย่าง Blackbeard หรือ Lord Voldemort ได้ โอ้โห! พล็อตเป๊ะ
แต่ถึงแม้จะได้รับแรงบันดาลใจด้านตัวบทและคาแรกเตอร์ตัวเอกมาจาก Harry Potter บทของหนัง PAN ก็ยังอ่อน ไม่มีอะไรแปลกใหม่น่าสนใจ ไดอะล็อกพูดก็แปลกประหลาด และการดำเนินเรื่องยังค่อนข้างน่าเบื่อ จนถึงขั้นพาง่วง… เหมาะแก่การเป็น Bedtime Story จริงๆ
นักแสดงนำทุกคนหน้าตาดี๊ดี แม้กระทั่งตัวประกอบอย่างนางเงือก (Cara Delevingne จาก Paper Towns) ก็ยังส้วยสวย คุณน้อง Levi Miller ที่รับบท Peter Pan ก็ทำได้ดีเลยทีเดียวสำหรับนักแสดงหน้าใหม่ แต่คาแรกเตอร์ของตัวละครแต่ละตัวในเรื่องนั้นเป็นปัญหาที่ทำให้พวกเขายังแบนราบและขาดเสน่ห์ที่ดึงดูดคนดูอย่างเราให้อยากดูหรือคอยให้กำลังใจทุกคนไปจนจบการผจญภัย
หนังพยายามใส่ “พลังหญิง” เข้ามาตามสมัยนิยม นั่นก็คือบทของ Tiger Lily ซึ่ง Rooney Mara ก็ทำได้ไม่แย่ เธอสวยสะพรึงและเล่นบทบู๊ได้โอเค แต่เรายังกังขากับแบ็คกราวนด์ของ Tiger Lily อยู่ดี คือตกลงชนเผ่า Piccaninny ของเธอเป็นชนเผ่าอะไรกันแน่ ไม่ใช่ Native American หรอ ทำไมดูมีเอเชียเต็มไปหมดเลย (เออ โดยที่นางก็หน้าฝรั่งของนางอยู่นั่นแหละ) แล้วทำไมเธอดูไม่ค่อยสนใจลูกเผ่าเลย เธอเป็นเจ้าหญิงจริงหรือเปล่า นี่งง
นอกจากนี้ ในช่วงต้นเรื่อง นี่ก็อยากเข้าใจเหลือเกินว่า ทำไมต้องให้ผู้หญิงในกองทัพ (ในห้องสั่งเครื่องบินยิงนาซี) เป็นผู้หญิงล้วนด้วยล่ะ ต้องการจะสื่ออะไร เหมือนจะมีอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไร พลังหญิงของฉันออกมาเพื่อยิงเครื่องบินแล้วจากไปโดยทั้งเรื่องก็ไม่ได้เน้นความเป็นพลังหญิงอีกเลยนอกจากมีแม่นาง Tiger Lily ที่สามารถเตะต่อยเก่งกาจไม่แพ้ชายฉกรรจ์ (นางเป็นผู้หญิงแต่ได้โชว์บู๊มากกว่า Hook เสียอีก เท่ซะด้วย) ซึ่งไม่ว่านางจะเตะต่อยได้หรือไม่ ยังไงนางก็ได้เป็นผู้นำหญิงของนางอยู่แล้วโดยชาติกำเนิด
ส่วน Hook ในภาคนี้ยังเป็นคนดี ไม่เป็นตัวร้าย คือยังเป็นเพื่อนกับ Peter Pan ยังไม่เป็นกัปตันฮุค ยังเป็น Indiana Jones และยังหนุ่มแน่นหล่อล่ำอยู่ เพราะหนังต้องการพยายามจะสอนเราว่า บางครั้งศัตรูก็เริ่มจากการเป็นเพื่อน (แต่เราว่า เป็นความพยายามสอนที่เฟลๆ ยังไงก็ไม่รู้ ดูจนจบแล้วก็ยังไม่เข้าใจว่าบอกฉันทำไม)
แต่ตัวละครที่หนักสุดๆ คงไม่มีใครเทียม Blackbeard หรือ Hugh Jackman ซึ่งก็ไม่รู้ว่าความผิดมันควรจะตกไปอยู่ที่ตัวบทของ Blackbeard หรือที่การแสดงอันเยอะล้นของ Hugh Jackman ที่ทำให้ตัวร้ายตัวนี้ดูลิเก๊ลิเกอย่างบอกไม่ถูก คือก็เข้าใจนะว่าต้องเป็นตัวร้ายที่ตลก แต่นี่มันไม่ใช่อะค่ะ มันเล่นใหญ่ไป แบบว่า “Bad Form” สุดๆ (แต่จะไล่ให้กลับไปเป็น Wolverine ก็อาจจะแก่เกินไปแล้วสิเนอะ)
สิ่งที่น่าสนใจคือ หนังพยายามเล่นประเด็นเชื้อชาติ เช่น เด็กกำพร้าที่ก็มีหลากหลายเชื้อชาติและสีผิว หรือชนเผ่าของ Tiger Lily ก็เช่นกัน แต่ถึงกระนั้น ตัวเอกที่เด๊นเด่นก็ยังเป็นฝรั่งผิวขาวอยู่เช่นเคย คนผิวสี เช่น Bishop มือขวาของโจรสลัดใหญ่ (Nonso Anozie จาก Cinderella) ก็ยังเป็นลุกกระจ๊อกโง่ๆ อยู่
อย่างไรก็ดี เราก็ต้องยอมรับว่าจุดขายจุดแข็งที่ดีงามสุดๆ ของ PAN คือฉากและงานโปรดักชันที่อลังการงานสร้าง ดูแพง สวยงามล้ำเลิศเหนือจินตนาการ ยิ่งใหญ่ตื่นตาตื่นใจ สีสันก็สวยงามสดใส (ก็แหม มาจากสตูดิโอเดียวกับ Harry Potter นี่เนาะ ภาพจะออกมาง่อยได้ยังไงกัน) ในส่วนของฉากบู๊ เขาก็ทำได้พีคและตื่นเต้นอยู่ ช่วงบู๊ๆ อะไรนี่คือสนุกเลยทีเดียว สนุกเป็นช่วงๆ แต่โดยรวมก็คือเรื่องราวน่าเบื่อ
ดังนั้น เราคิดว่า PAN เหมาะแก่การดู 3D ชมภาพสวยๆ เพลินๆ นั่นแหละ แต่ถ้าหวังเอาเนื้อเรื่องก็คงไม่ได้อะไร เหมือนจะมีสารเกี่ยวกับการเป็นเด็กกับการเป็นผู้ใหญ่นิดหน่อยแต่ไม่ชัด ประเด็นการเป็นตัวเองก็ไม่สุด (ยังไม่นับประเด็นแม่ลูกผูกพันอีกนะนั่น) โดยสรุป หนังเรื่องนี้น่าจะเหมาะกับเด็กๆ หรือผู้ใหญ่ที่ไม่อยากโต ถ้าแก่ๆ แล้วอย่างเราก็อาจจะไม่อินสักเท่าไหร่ เราว่าหนังมันโลกสวยเกินไป
คะแนนตามความชอบส่วนตัว เราให้ 7/10 (แต่ถ้าเราได้ดูแบบ 3D เราอาจจะให้ 7.5 ก็ได้มั้ง ไม่รู้เหมือนกัน)
PAN ฉายแล้ววันนี้ 8 ต.ค. 2015 ในโรงภาพยนตร์ทุกระบบ
ป.ล. บางทีนี่ก็แอบติดภาพว่า Peter Pan อาจเป็นหลานของ Blackbeard (สงสัยยังอินจาก Les Misérables มากไป)
47 comments