เรื่องย่อ Pandemic: หยุดวิบัติไวรัสซอมบี้
Doctor Greer (Paul Guilfoyle) มอบหมายให้นำทีม 314 นำโดย Doctor Lauren Chase (Rachel Nichols) และสมุนอีกสามคน ได้แก่ Wheeler (Alfie Allen จาก Game of Thrones, John Wick), Gunner (Mekhi Phifer), และ Denise (Missi Pyle) ออกไปกู้ภัยทีม 313 ที่ติดอยู่ในเมืองซอมบี้พร้อมคนปลอดเชื้ออีกนับสิบคน
รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ Pandemic: หยุดวิบัติไวรัสซอมบี้
ถึงแม้ว่าโดยพื้นฐานเราจะชอบดูหนังซอมบี้ แต่ Pandemic: หยุดวิบัติไวรัสซอมบี้ เป็นหนังที่ค่อนข้างจัดว่าล้มเหลวสำหรับเรา ถ้าไม่มีหน้าหล่อ ๆ ของ Alfie Allen (จาก Game of Thrones) นี่คงหลับคาโรงไปแล้ว ซึ่งไอ้ที่ว่าจะหลับนี่ไม่ใช่เพราะหนังน่าเบื่ออะไรนัก มันก็มีความสนุกและลุ้นระทึกอยู่บ้างแหละ แต่เหตุผลหลัก ๆ ที่อยากจะนอนหรืออยากจะออกจากโรง ณ เดี๋ยวนั้นก็คือ “ความมึนหัว”
พูดตรง ๆ ว่า เป็นประสบการณ์การดูหนังที่ไม่ enjoy เอาเสียเลย หนังเขาพยายามให้คนดูเหมือนอยู่ในเหตุการณ์จริง โดยให้เราเห็นภาพเหมือนที่ตัวละครแต่ละตัวเห็นอยู่ ณ ขณะนั้น อารมณ์เหมือนเราอยู่ในเกมนั้น ๆ มองภาพผ่านมุมมองของตัวละคร (ถ้าใครเคยเล่นเกม The Walking Dead คงจะนึกออก) ซึ่งเราไม่ชอบภาพแบบนี้เลย ดูแล้วโคตรเวียนหัว แถมยังมีภาพ เละ ๆ แบะ ๆ ชวนอ้วกเป็นระลอกอีกต่างหาก จนไม่รู้ว่าจะปิดตาหรือปิดปากก่อนดี
อยากแอบกลับไปบอกกับทางค่ายหนังว่า “วันนั้นค่ายน่าจะแจกถุงอ้วกแทนที่จะแจกเสื้อกันฝนเป็นของสมนาคุณให้แขกหนังรอบสื่อเรื่องนี้นะคะ”
เนื้อเรื่องโดยภาพรวมไม่มีอะไรแปลกใหม่ ค่อนข้างตามสูตรหนังซอมบี้ที่มีแฝงประเด็นความรักในครอบครัว แล้วบางจุดก็แอบมีความโง่เบา ๆ ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ แต่ก็มีประเด็นที่ดีที่น่าสนใจอยู่บ้าง ซึ่งประเด็นนี้ก็ดีพอที่ก็ทำให้เรารู้สึกได้ว่า อย่างน้อยก็ไม่รู้สึกเสียดายเวลามากนักที่ทนนั่งดูมันจนจบเรื่อง คือถ้าไม่มีประเด็นนี้ (หรืออยู่ดูไม่ถึงประเด็นนี้) คงปรับตกให้ Pandemic ไปแล้ว
ประเด็นที่ว่านั้นเกี่ยวกับการตัดสินคนจากภายนอก เสื้อผ้าเครื่องกาย หรือสถานภาพ พร้อมกับสิทธิพิเศษ (privilege) จากสิ่งเหล่านั้น กล่าวคือ กล่าวคือ นางเอกซึ่งเป็นหมอ (หรืออาจเปรียบได้กับคนที่มีความรู้ มีตำแหน่ง) จะได้อภิสิทธิ์เหนือกว่าคนอื่น ๆ เพราะถือเป็นบุคลากรที่มีความสำคัญยิ่งใน Z-World ในขณะที่คนอื่นแทบจะไม่มีค่าใดใด เป็นพลขับก็ถูกเรียกว่า Wheeler เป็นพลปืนก็ถูกเรียกว่า Gunner ซึ่งถ้าหากติดเชื้อก็ทิ้งได้เลย เพราะจะหาคนขับรถเป็นหรือยิงปืนเป็นเมื่อไหร่ก็ได้
โดยสรุป Pandemic เป็นหนังซอมบี้ที่มีมุมมองภาพเหมือนเล่นเกม แต่เวียนหัวกว่ามาก มีความระทึกและมีพอยต์ที่ดีอยู่บ้าง แต่ก็หักล้างไม่ได้กับความมึนหัวที่ต้องแลก แต่ถ้าใครชอบหรือทนไหวกับภาพลักษณะ handheld นี้ ก็ลองไปดูก็ได้ แต่สำหรับเรา เราไม่คิดจะดูหนังเรื่องนี้ซ้ำอีกโดยเด็ดขาดแน่ ๆ
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 5/10
Pandemic: หยุดวิบัติไวรัสซอมบี้ 19 พ.ค. 2016 นี้ ในโรงภาพยนตร์
40 comments