“The original film opened with $5.1m in 335 theaters in September of 2012 before expanding to 2,770 theaters and earning $14.8m in its second weekend. The buzzy and leggy Anna Kendrick/Rebel Wilson comedy sang its way to $65m domestic and $113m worldwide on a $17m budget, and it was a big hit on VOD/DVD ($103m just in DVD/Blu sales). Oh, and the soundtrack has sold 1.2 million copies thus far in America.” (Forbes, 2015)
หลังจากที่หนังมิวสิคัลทุนต่ำอย่าง Pitch Perfect กลายเป็นม้ามืดที่ประสบความสำเร็จเกินคาด และผลักดันสาวๆ นักแสดงนำอย่าง Anna Kendrick (จาก Twilight, Up in the Air, และ Into the Woods) กับ Rebel Wilson (จาก Night at the Museum 3) ให้แจ้งเกิดอย่างสวยงามไปเมื่อปี 2012 วันนี้สาวๆ “Barden Bellas” กลับมาอีกครั้งกับหนังภาคต่อ Pitch Perfect 2 ที่มีตัวละครเยอะขึ้น เพลงเยอะขึ้น และเวทีใหญ่ขึ้น
ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าใครไม่เคยดูภาคแรกมาก่อน เราคิดว่ายังไงๆ ก็สามารถดิ่งไปดูภาค 2 อันนี้ได้เลย คือถึงแม้อาจจะไม่อินเท่ากับคนที่เขารู้จักหรือผูกพันกับตัวละครมาแล้วตั้งแต่ภาคปางก่อน แต่ยังไงๆ มันก็ดูรู้เรื่องเหมือนกัน เพราะหนังมันไม่ได้ต่อกัน
แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการทบทวนให้กับคนเก่า และเท้าความเดิมคร่าวๆ ให้กับคนใหม่ โดยเราจะขอเล่าเรื่องย่อ (โดยละเอียด) ของ Pitch Perfect ภาคแรก ก่อนจะเริ่มบรรเลงเรื่องย่อและรีวิวภาค 2 ให้ตามปกติ แต่ถ้าใครอยากจะข้ามไปอ่าน Pitch Perfect 2 เลยก็ได้ ไม่มีปัญหา
.
เรื่องย่อ (โดยละเอียด) Pitch Perfect (2012)
ทีม “Barden Bellas” หรือชมรม cappella หญิงล้วนของ Barden University ซึ่งเป็นชมรมที่สืบทอดกันมายาวนานและเคยรุ่งโรจน์มาโดยตลอดจนกระทั่งปีล่าสุดที่ Aubrey (Anna Camp จาก The Help) หัวหน้าทีมไปอ้วกกลางเวทีจนการแสดงและชื่อเสียงของวงเละไม่เป็นท่า Aubrey และ Chloe (Brittany Snow) จึงจำต้องฟอร์มทีมใหม่เพื่อกอบกู้ชื่อเสียงคืนมาให้กับชมรมที่รักยิ่งของพวกเธอ
เฟรชชี่สาวสวย Beca (Anna Kendrick) ถูกพ่อบังคับให้มาเข้าเรียนมหาวิทยาลัยและบังคับให้หาชมรมอยู่เพื่อเรียนรู้การมีเพื่อนมีสังคม มิเช่นนั้นพ่อจะไม่อนุญาตให้ไปเป็นดีเจหรือโปรดิวเซอร์เพลงที่ LA ตามที่เธอฝัน Beca ไม่มีทางเลือก เธอจึงต้องจำใจเข้าร่วมทีม “Barden Bellas” ตามคำเชิญชวนของ Chloe
แรกๆ Beca ก็รู้สึกว่าต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการ fit in หรือเข้ากับเพื่อนใหม่สังคมใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเพื่อนๆ สมาชิกชุดใหม่ของทีม “Barden Bellas” ซึ่งมีความหลากหลายและมีเอกลักษณ์แตกต่างเฉพาะตัว
เช่น Fat Amy (Rebel Wilson) สาวท้วมสุดฮาและมีพลังความมั่นใจในตัวเองสูงลิ่ว, Lilly (Hana Mae Lee) สาวเอเชียเสียงเล็กราวกับกระซิบ, Cynthia-Rose (Ester Dean) สาวทอมผิวสี, Stacie (Alexis Knapp) สาวเอ็กซ์เซ็กส์จัด, และอีก 2-3 นางที่ดูไม่เป็นที่จดจำ ไม่ต้องรู้จักก็ได้
ความแปลกแตกต่างดังกล่าว ทำให้ในระยะเริ่มแรกของทีม “Barden Bellas” ดูเหมือนจะเป็นทีมเวิร์คกันยากอยู่ซะหน่อย แถม Aubrey ยังเป็นหัวหน้าทีมประเภทที่จู้จี้เจ้าบงการและยึดมั่นที่จะใช้แต่เพลง ท่าเต้น หรืออะไรๆ แบบสไตล์เดิมๆ ที่เคยชนะมาเมื่อปีก่อนๆ
การแสดงของ “Barden Bellas” ที่เคยใช้ได้เมื่อหลายปีก่อน แน่นอนว่า มาใช้ตอนนี้ ยังไงๆ ก็เฉิ่มเชย ซ้ำซาก น่าเบื่อ ไม่น่าสนใจ และไม่มีอะไรแปลกใหม่หวือหวา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเอาไปเทียบกับทีมคู่แข่งอย่าง “Treblemakers” หรือชมรม cappella ชายล้วนของมหา’ลัยด้วยแล้ว ก็ยิ่งน่าเป็นห่วง
โดยปีนั้น Bumper สุดเกรียน (Adam DeVine) หัวหน้าทีมของ “Treblemakers” ก็รับเฟรชชี่หนุ่มๆ มาเป็นสมาชิกใหม่เพิ่มเช่นกัน หนึ่งในนั้นคือ Jessie (Skylar Astin จาก 21 & Over) กิ๊กของ Beca ที่ทำงานด้วยกันอยู่ที่สถานีดีเจประจำมหาวิทยาลัยของ Luke (Freddie Stroma สุดหล่อจาก Harry Potter และ A Cinderella Story: Once Upon a Song)
อย่างไรก็ตาม หลังจากล้มลุกคลุกคลานและขัดใจกันมาหลายครั้งหลายเวที ในที่สุด Aubrey ก็ยอมให้ทีม “Barden Bellas” ได้ลองร้องเล่นเต้นระบำตามสไตล์ใหม่ของ Beca
ในขณะเดียวกันที่ Bumper ก็ทิ้งทีม “Treblemakers” ไปดื้อๆ พอดี เพราะเขาได้รับข้อเสนอให้ไปฝึกงานกับ John Mayer นักร้องนักแต่งเพลงชื่อดัง Jesse จึงถือโอกาสไปดึง Benji (Ben Platt) รูมเมตของเขามาเข้าร่วมทีมแทนที่ เพราะเขารู้มาตลอดว่า Benji มีความสามารถและอยากเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ “Treblemakers” มาโดยตลอด (แต่คนอื่นไม่รับเพราะมองว่า Benji เนิร์ดและประหลาดล้นเกินไป)
ในรอบไฟนอลของการแข่งขันระดับประเทศ สาวๆ “Barden Bellas” ร้องเพลงที่เรียบเรียงและโซโล่โดย Beca หนึ่งในนั้นมีเพลง “Don’t You (Forget About Me)“ เพลงประกอบภาพยนตร์ “The Breakfast Club” ซึ่งเป็นหนังโปรดของ Jesse รวมอยู่ด้วย
เรื่องย่อ Pitch Perfect 2 (2015)
หลังจากเรื่องราว Pitch Perfect ภาคแรกจบลง Beca ได้ขึ้นเป็นหัวหน้าทีม “Barden Bellas” นำพาทีมไปกวาดรางวัลใหญ่ระดับประเทศมาติดต่อกัน 3 ปีซ้อน แต่ในช่วงปีสุดท้ายของการเรียนมหาวิทยาลัย Beca ไม่มี passion กับการประกวดเหมือนแต่ก่อนแล้ว เพราะยิ่งใกล้จะจบการศึกษา เธอก็ยิ่งคิดถึงแต่อนาคตหลังรั้วมหา’ลัยมากกว่าจะมาซ้อมเต้น cover
โดยระยะหลัง เธอแอบเพื่อนๆ ไปฝึกงานกับโปรดิวเซอร์เพลงใหญ่ (Keegan-Michael Key) ซึ่ง ณ ขณะนั้นกำลังทำเพลงให้ Snoop Dogg อยู่ โดยบอส Key เห็นพรสวรรค์ของ Beca จึงเสนอว่าจะฟังเดโมของ Beca แต่มีข้อแม้ว่าเธอต้องทำงานเพลงที่เป็นเพลงออริจินัล ไม่ใช่เพลง mash-up หรือเพลง cover แบบที่พวก cappella เอาไปร้อง
ในปีนี้ เฟรชชี่สาวสวย Emily (Hailee Steinfeld จาก Begin Again, Romeo & Juliet, และ Ender’s Game) ได้เข้ามาเป็นทายาทคนล่าสุด เธออยากเข้ามาเป็นสมาชิก “Barden Bellas” ตั้งแต่จำความได้ เพราะแม่ของเธอ (Katey Sagal) เป็น “Barden Bellas” รุ่นบุกเบิก เธอมี Beca เป็นไอดอล และพยายามอย่างยิ่งที่จะ catch up และ fit in with รุ่นพี่ในทีมให้ได้
เพื่อเป็นการกอบกู้ชื่อเสียงหลังจาก Fat Amy ไปทำพลาดไว้บนเวทีล่าสุด สาวๆ “Barden Bellas” ไปลงสนามระดับโลกที่ Copenhagen, Denmark แทน โดยบนสนามที่ใหญ่ขึ้นนี้ คู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดของสาวๆ ไม่ใช่ทีม “Treblemakers” ของ Jesse (แฟนหนุ่มของ Beca) อีกต่อไป หากแต่คือทีม “Das Sound Machine” จากเยอรมัน นำโดยสองยักษ์ Kommissar (Birgitte Hjort Sørensen) และ Pieter Krämer (Flula Borg)
(แต่ไม่ว่าจะเวทีไหน Gail (Elizabeth Banks หรือ Effie Trinket จาก The Hunger Games) กับ John (John Michael Higgins) ก็ยังตามไปหลอกหลอนเป็นพิธีกร/คนพากย์ให้พวกนางอยู่ทุกที่ไป LOL)
และเพื่อเป็นการหลอมรวมทีมให้กระชับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้นก่อนการซ้อมอย่างจริงจัง Chloe ได้พาสาวๆ ทุกคนไปเข้าค่ายละลายพฤติกรรมที่แคมป์แห่งหนึ่ง ซึ่งบริหารโดยเจ๊ Aubrey อดีตหัวหน้าทีมจอมเจ้ากี้เจ้าการ และ ณ ที่ค่ายนี้เองที่ทำให้สาวๆ รู้รักสามัคคีกันมากขึ้นและได้ค้นพบ “สิ่งที่เคยมี” ของพวกเธออีกครั้ง
รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ Pitch Perfect 2 (2015)
1. Past vs. Present vs. Future
ในภาคแรก เราจะเห็นว่า ที่มาของปัญหา “Barden Bellas” คือการยึดติดกับ “อดีต” อย่างที่เห็นได้จากพฤติกรรมและทัศนคติของซือเจ๊ Aubrey ที่ conservative มาก ยึดติดกับท่าเต้น เพลง คอสตูม และวิธีการฝึกซ้อมแบบ traditional ตามรุ่นพี่ที่ประสบความสำเร็จ โดยไม่คิดจะปรับประยุกต์ใช้ให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบันและ personality ของลูกทีมชุดใหม่
ส่วนในภาคสองนี้ ปัญหาจะเกิดจากการที่สาวๆ หวาดกลัวและซีเรียสกับ “อนาคต” มากเกินไป จนละเลยหรือหลงลืม “ความสุขในปัจจุบัน” และเกือบทำลายสิ่งที่ลำบากลำบนสร้างมาตั้งแต่ “อดีต” โดยไม่รู้ตัว
อย่างเช่น Beca ที่ให้ priority กับการฝึกงานดีเจมากจนเกือบทำให้การซ้อมวงเสียการเสียงาน หรือแม้แต่ Chloe ที่ไม่ยอมเรียนให้จบๆ ไปสักที (สังเกตว่า Aubrey จบไปทำงานแล้ว แต่ Chloe ยังอยู่ในทีม) เพราะกลัวอนาคต กลัวการเปลี่ยนแปลง ไม่กล้าออกไปเผอิญกับโลกหลังการศึกษา และยังอยากอยู่ใน comfort zone กับน้องๆ “Barden Bellas”
อย่างไรก็ดี หนังก็ทำให้เราเห็นว่า เกิดมาเป็นวัยรุ่นทั้งที ก็ไม่ควรเอาแต่เรียนๆๆ หรือโฟกัสแต่อนาคตหลังเรียนจบมากเกินไป เราควรจะใช้ชีวิตในวัยเรียนให้คุ้มที่สุด เพราะเพื่อนๆ และประสบการณ์ในรั้วโรงเรียน/มหาวิทยาลัยนั้นล้ำค่ามาก มันจะติดตัวเราไปตลอดทั้งชีวิต เราไม่จำเป็นต้องรีบโตเป็นผู้ใหญ่เร็วเกินไปก็ได้ ในเมื่อการเป็นเด็ก…มันสนุกกว่าเยอะ
แต่ในขณะเดียวกัน การเป็นเด็กก็ไม่ได้แปลว่าไร้สาระเสมอไป หนังเขาก็ทำให้เราได้นึกถึงอนาคตของตัวเองอยู่เหมือนกัน และก็ช่วยให้มองย้อนกลับมาด้วยว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ทุกวันนี้มันเป็นเส้นทางที่จะพาเราสู่ปลายทางนั้นแล้วหรือยัง
2. ประเด็นทางเพศ ชาติพันธุ์ และคนชายขอบ
เนื่องจาก “Barden Bellas” เป็นวงหญิงล้วน ที่มีความหลากหลายทางเพศ (คือมีเพศที่สามด้วย), เชื้อชาติสีผิว, และรูปร่างหน้าตา (อ้วนผอม – สูงเตี้ย) แน่นอนว่าหนังต้องสอดแทรกประเด็นทางเพศ ชาติพันธุ์ และคนชายขอบด้วยอยู่แล้ว โดยในภาคนี้หนังเล่นประเด็นดังกล่าวมากขึ้น ไปทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ โดยมักจะแฝงอยู่ในรูปแบบของมุกหรือตลกร้าย
ในภาพรวม เรามองว่าหนังนำเสนอ feminist ไปในทางที่ดีเกือบหมด และก็ให้ John (พิธีกรชาย) เป็นตัวแทนของผู้ชายที่เป็น misogynist โดยประเด็นพลังหญิงที่ดีและชัดเจนที่สุดก็คงเป็นเคสของ Fat Amy
หนังที่ผ่านมาหลายเรื่อง คนอ้วนมักได้รับบทเป็นตัวตลกบ้าๆ บอๆ หรือไม่ก็เป็นพวกอันธพาลเกเรไร้สมอง จึงทำให้คนทั่วไปเกิดภาพจำว่าคนอ้วนในสังคมก็จะต้องเป็นคนยังงั้น หรือไม่คนอ้วนบางคนก็จะพยายามทำตัวเองให้ตลกแบบคนอ้วนในหนังเพื่อให้สังคมยอมรับ
แต่บท Fat Amy ที่แสดงโดย Rebel Wilson นั้น โชว์ให้เห็นว่าสาวอ้วนก็มีความสามารถและสวยเลือกได้ได้ไม่แพ้สาวสลิมอัพเหมือนกัน (ถึงแม้ว่าจะมีบางซีนที่ดูล้นไปบ้างก็ตาม) ขอเพียงแค่มีความเชื่อมั่นและมั่นใจในตัวเอง ไม่มองความอ้วนเป็นปมด้อย แค่นั้นไขมันน้อยๆ ก็จะหาจุดยืนของตัวเองเจอโดยไม่จำเป็นต้องพยายามให้ใครมายอมรับ
แต่ประเด็นที่เราว่าบางมุกมันก็ดูแรงไปหรือเยอะไปคือเรื่องเชื้อชาติ บางมุกที่ให้สาวๆ เล่นกันเอง เช่น Cynthia-Rose กับ Flo (Chrissie Fit) ที่เป็นสาวผิวสีต่างชาติ ฟังแล้วก็ยังรู้สึกน่ารักอยู่ แต่บางมุกที่พิธีกร John เล่นตอนพากย์การประกวด เราว่าเหยียดแบบไม่ค่อยโอเคสักเท่าไหร่ ถึงแม้จะเข้าใจว่าเสียสีพวกที่เหยียดมาอีกทีก็ตาม
แต่ก็ไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดมากคิดน้อยจากเราอะไรยังไงบ้าง ก็คงแล้วแต่มุมมองของแต่ละคนอีกทีแหละเนาะ
3. Who run the world? Girls! (-Beyoncé-)
มาพูดถึงนักแสดงกันบ้าง หลังจากภาคแรกส่งให้นักแสดงสาวมากความสามารถ Anna Kendrick กับ Rebel Wilson โด่งดังเป็นพลุแตกไปแล้ว ภาคนี้ก็เหมือนงานเลี้ยงส่งอำลาพวกนาง โดยในภาคนี้ คนสร้างเพิ่มบทให้ Rebel Wilson มากขึ้น
กล่าวคือ Fat Amy จะมีบทอินเลิฟเป็นของตัวเองกับ Bumper จอมขโมยซีนประจำภาค และได้หยอดมุกถี่ขึ้น สงสัยจะหวังเอาใจสาวร่างใหญ่และแฟนคลับที่ชื่นชอบนางเป็นการพิเศษ โดยมีซีนนึง นางเล่นใหญ่มาก ตัวนางใหญ่แค่ไหน นางเล่นใหญ่กว่านั้น 10 เท่า แต่ซีนนั้นฮาติดตาติดใจมาก ต้องไปชมด้วยตาตัวเองให้ได้นะ
นอกจากนี้ ยังมีนักแสดงสาวดาวรุ่งวัยกำลังโตอีกคนนึงที่หนังพยายามดันอย่างสุดชีวิต นั่นก็คือ Emily หรือ Hailee Steinfeld โดยเราจะเห็นได้ชัดว่า กล้องจะหมั่นโฟกัสเฉิดฉายไปที่นางแทบจะตลอดเวลา แถมยังยัดเยียดให้มีบท (จู่ๆ ก็) อินเลิฟกับหนุ่ม“Treblemakers” และที่สำคัญบทสำคัญของนางคือการเป็นผู้สืบทอด “Barden Bellas” รุ่นต่อไป ซึ่งเดาได้ไม่ยากว่า ชะนีนางนี้จะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำแทน Beca อย่างแน่นอน
ซึ่งโดยส่วนตัว เราก็คิดว่า Hailee Steinfeld นางก็สูงยาวและน่ารักดีนะ แต่เอาจริงๆ ก็ยังไม่ได้เห็นพลังเสียงของเธอมากเท่าไหร่นัก เลยยังไม่เห็นว่าเธอจะมีศักยภาพดีงามพอที่จะมาเป็น Anna Kendrick คนต่อไปได้จริงแท้แค่ไหน ก็คงต้องรอดูกันต่อไป
(ประหนึ่งแพลนกันไว้แล้วว่า ในอนาคตอันใกล้จะต้องมี Pitch Perfect 3 แบบว่า มั่นใจมากว่ายังไงๆ Pitch Perfect 2 ก็ทำเงิน ไรงี้)
แต่สิ่งที่เราเสียใจคือ พอหนังไปให้น้ำหนักกับ Rebel Wilson และ Hailee Steinfeld มากไปหน่อย Anna Kendrick ของเราจึงไม่ค่อยโดดเด่นหรือเป็นเซนเตอร์ของเรื่องเท่าไหร่นักเมื่อเทียบกับภาคก่อนหน้า เรื่องกุ๊กกิ๊กของเธอกับ Jesse ก็แทบเหมือนไม่มีอยู่จริง
พูดง่ายๆ คือเหมือนหน้าที่ของเธอในภาคนี้จะมีแค่ถ่ายทอดเรื่องราวของว่าที่บัณฑิตสาวที่พยายามเดินตามฝันเก่าของตัวเอง และได้พูดฉอดๆ มากๆ ก็แค่ตอนที่ด่าคู่แข่งร่างยักษ์ชาวเยอรมัน ก็เท่านั้น (แต่โชคดีที่ Anna นางหน้าสวยและเสียงดีมาก เลยไม่ถึงกับถูกคนอื่นกลบมิดซะทีเดียว)
เออ เราชอบที่ใส่เพลง Who Run the World ของเฟมินิสต์ตัวแม่ลงไปในไฟนอลโชว์ด้วยนะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในไฟนอลโชว์ก็ยังมีอย่างอื่นที่เราชอบมากกว่า และเราเชื่อว่าทุกคนที่ไปดู ก็คงชอบโมเมนต์นี้เหมือนเรา ไปดูๆ :)
4. สรุปภาพรวม
Pitch Perfect 2 เป็นหนังภาคต่อที่ทำสนุกกว่าที่คิดมาก ความตลกและความบันเทิงคุ้มค่าแก่การรอคอย นักแสดงเล่นดีและร้องเพลงเพราะมากทุกคนเหมือนเดิม นักแสดงรับเชิญเยอะ เซอร์ไพรส์แยะ (บางฉากเราฮาน้ำตาเล็ดและซึ้งน้ำตาไหลเลยก็มี) บทอาจจะมีเอ๊ะๆ เละๆ อยู่บ้าง แต่โดยรวมก็ยังสนุก รับได้ เพราะยังสอดแทรกข้อคิดและสร้างแรงบันดาลใจให้เราไม่น้อย
เอาเป็นว่าสนุกไม่เสียดายตังค์ โดยเฉพาะ END CREDIT ตอนจบนะ เซอร์ไพรส์มากกกกส์ ห้ามพลาด อย่ารีบลุก!
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 8/10
ป.ล. ดู Anna Kendrick มาก็หลายเรื่อง ชอบลุคนางในเรื่องนี้สุดละ เท่ทุกท่วงท่า ฮอตฉ่าทุกมุมมอง
Read More: รวมเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยและเพลง(เกือบ)ทั้งหมดจาก Pitch Perfect 2 [Spoil เต็มๆ]
42 comments