Point Break (2015) ของผู้กำกับ Ericson Core (Director of Photography จาก The Fast and the Furious) เป็นหนังรีเมคจาก Point Break (1991) ที่ Keanu Reeves แสดงกับ Patrick Swayze
เรื่องย่อ Point Break (2015)
เมื่อเกิดเหตุการณ์ปล้นพิศดารที่ Mumbai กับ Mexico ทางหน่วย F.B.I. จึงส่งเด็กใหม่อย่าง Johnny Utah (Luke Bracey จาก G.I. Joe: Retaliation, The Best of Me) อดีตนักกีฬาเอ็กซ์ตรีมชื่อดัง ไปเป็นหนอนบ่อนไส้ในแก๊งโจร ซึ่งนำโดย Bodhi (Édgar Ramírez จาก Wrath of the Titans)
แก๊งโจรแก๊งนี้ไม่คิดว่าตัวเองกำลังทำอาชญากรรม พวกเขายึดถือหลักปรัชญา “Ozaki 8” ของ Ozaki Ono ซึ่งเกี่ยวกับการเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ และการ “giving” คืนกับการ “taking”
There are some who do not fear death for they are more afraid of not really living.
รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ Point Break (2015)
โดยส่วนตัว เราไม่เคยดู Point Break เวอร์ชั่น 1991 เพราะตอนนั้นยังเบบี๋เกินกว่าจะดูหนังรู้เรื่อง ดังนั้น เราจึงไปดู Point Break เวอร์ชั่นนี้แบบชิลๆ ไม่มีความรู้สึกปิดใจ คาดหวัง หรือเปรียบเทียบกับเวอร์ชั่นเก่าแต่ใดใด
ว่ากันตรงๆ ในความรู้สึกของเรา Point Break (2015) เป็นหนังที่เนื้อเรื่องดูเหมือนมีอะไรแต่เอาจริงๆ กลับไม่มีอะไร กล่าวคือ อย่างที่คงเห็นกันในเทรลเลอร์ ดูผิวๆ หนังก็ดูมีสาระในแง่หลักปรัชญาหรือลัทธิความเชื่อ และมีการแฝงข้อคิดการใช้ชีวิตเพื่อตัวเองและเพื่อสังคมโลก เออ น่าสนใจดี แต่พอได้ดูหนังตัวเต็มแล้ว เราก็รู้สึกว่า สาระในเทรลเลอร์มีแค่ไหน สาระจริงจังในเนื้อหนังจริงๆ ก็มีแค่เท่าที่เห็นในเทรลเลอร์นั่นแหละ – no more no less.
มีหลายช่วงที่รู้สึกว่าการเล่าเรื่องดำเนินไปอย่างเนิบๆ ไม่รู้ว่าผู้กำกับเขาต้องการให้คนดูดูไปด้วยฟีล “เดินจงกรม” หรือกระไร ประมาณว่าคนดูดูจบก็บรรลุ “นิพพาน” พร้อมตัวละครในเรื่องให้รู้แล้วรู้เรื่อง มิหนำซ้ำ คอนเน็คชั่นของตัวละครในเรื่องก็ยังไม่ค่อยสตรอง และทีมนักแสดงก็ขาดเสน่ห์ดึงดูด เราก็เลยยังไม่ค่อยอินกับหนังสักเท่าไหร่ (ใช้ Teresa Palmer ไม่คุ้มเลยด้วย โกรธ)
แต่สิ่งที่ทำให้เราไม่ง่วงหงาวผล็อยหลับ และรู้สึกว่าโดยภาพรวมของหนังมันยังไม่แย่คือ ฉากเอ็กซ์ตรีมต่างๆ มันเร้าใจจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นคนที่รักการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ (เช่น เที่ยวน้ำตก เดินป่า ปีนเขา ฯลฯ) หรือรักกีฬาเอ็กซ์ตรีมแมนๆ ก็คงจะอินกับหนังเรื่องนี้ยิ่งๆ ขึ้นไป (ส่วนเรื่องประเด็นปล้นๆ เป็น Robinhood อะไรนั่น… คืออะไรหรอ… อิชั้นลืมประเด็นนั้นกริบไปตั้งแต่ต้นเรื่องละค่ะ)
สำหรับผู้หญิงธรรมดาอย่างเรา เราดูแล้วรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับฉากแอ็คชั่นเอ็กซ์ตรีมในหนังมาก สมแล้วที่ผู้กำกับเป็นอดีตคนถ่ายภาพ The Fast and the Furious คือขอบอกเลยว่า ถ้าใครมีโอกาสดู 3D ได้ จัด 3D ได้เลยนะ
ถึงแม้โลเกชั่นของซีนเอ็กซ์ตรีมหลักๆ จะเห็นหมดแล้วในเทรลเลอร์ แต่ในหนัง มันกลับมีมากกว่าที่เห็นในเทรลเลอร์ เพราะหนังเค้าออกแบบและถ่ายภาพได้สวยอลัง มุมกล้องโคตรเท่เหมือนได้เข้าไปเซิร์ฟเองปีนเอง โคตรเสียวสมจริง และที่สำคัญภาพธรรมชาติมันแกรนด์มาก ทั้งดิน หิน น้ำ ลม น้ำแข็ง ป่าไม้ ฯลฯ ดูแล้วรู้สึกว่ามนุษย์อย่างพวกเราตัวเล็กต๊อกต๋อยกระจึ๋งเดียวจริงๆ
สิ่งที่เราชอบที่สุดก็คือ ภาพโลเกชั่นของหนัง ที่เกี่ยวกับธรรมชาติอันยิ่งใหญ่นี่แหละ เหมือนได้ไปเที่ยวรอบโลก ทั้งโดดร่มดิ่ง Cave of Swallows หรือ Jungle Cave ของ Mexico, เซิร์ฟคลื่นยักษ์ที่ Teahupoʻo ของ France (คลื่นยักษ์ของจริง ไม่ใช้ CG ด้วยนะเออ), บินวิงสูทที่เทือกเขา Alps ของ Switzerland, และไต่เขามือเปล่าที่ Angel Falls ของ Venezuela ฯลฯ
ดูจบแล้ว สาระได้ไม่ได้นี่ไม่รู้ รู้แต่ว่า อยากออกไปเดินตามเส้นทางของตัวเอง อยากไปดื่มด่ำกับธรรมชาติแบบนี้บ้างอะไรบ้าง (แต่ไม่ต้องผาดโผนขนาดในหนังนะ คือยังไม่ได้อินกับปรัชญาโอซากิด้วยขนาดนั้น)
โดยสรุป Point Break ก็จัดเป็นหนัง “แมนๆ” ที่เหมาะสำหรับคนชอบกีฬาเอ็กซ์ตรีม ชอบชมภาพความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติทั่วโลก หรือเน้นฉากแอ็คชั่นมันๆ แต่ไม่เน้นเนื้อหาสาระ
คะแนนตามความชอบส่วนตัว บวกคะแนน six-pack แล้วอะไรแล้ว ให้ 7/10 แต่คิดว่าถ้าได้ดูแบบ 3D ขึ้นไป อาจจะให้คะแนนมากกว่านี้ เพราะภาพเค้าเท่จริงๆ
Point Break เข้าฉาย 9 ธ.ค. 2015 ก่อนอเมริกา
ป.ล. Point Break เป็นศัพท์เฉพาะทางของกีฬาเซิร์ฟ เผื่อใครอยากรู้
61 comments