เมื่อ Train to Busan ประสบความสำเร็จสูงมาก จึงไม่แปลกใจที่เกาหลีจะรีบทำหนังซอมบี้ตามมาในเวลาที่ถือว่าไล่กัน โดย Rampant จะเป็นหนังซอมบี้ในยุคโบราณสมัยยังมีจักรพรรดิ-ราชวงศ์ อารมณ์คล้ายกับ ผีห่าอโยธยา หนังผีซอมบี้ไทยที่เราเพิ่งได้ดูกันไปไม่นาน เชื่อว่า ถ้าใครเป็นคอหนังซอมบี้ หรือเคยดู Train to Busan แล้วชอบ ก็คงต้องอยากดู Rampant
เรื่องราวของ Rampant จึงไม่ได้มีเนื้อหาทันสมัยอย่าง Train to Busan ที่จิกกัดทุนนิยม แต่ค่อนไปทางจักร ๆ วงศ์ ๆ เกี่ยวกับกบฏ ระบอบกษัตริย์ และการชิงบัลลังก์ โดยเรื่องของเรื่องมันเริ่มจากกษัตริย์ไม่เอาการเอางานก่อน องค์ชายรัชทายาทจึงคิดทำอะไรสักอย่างแต่ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏและก็เสียชีวิตในที่สุด (ขออนุญาตใช้ศัพท์สามัญ) ทำให้น้องชายของเขา Prince Ganglim (Hyun Bin) ซึ่งอยู่ต่างเมือง (เดาว่าไปเป็นเครื่องราชบรรณาการ) ต้องเดินทางกลับมาเพื่อมารับเมียและลูกในครรภ์ของพี่ชายไปอยู่ด้วยตามคำขอก่อนตายของเขา แต่ระหว่างทางไปวังของเขา เขาพบว่าชาวบ้านตามหมู่บ้านรอบนอกกลายเป็นซอมบี้กันแทบทั้งบาง แม้แต่ในวังหลวง ก็เริ่มมีผู้ติดเชื้อแพร่ระบาดอยู่ภายใน โดยมีกบฏตัวจริงอย่าง Kim Ja-joon (Dong-Gun Jang) บงการอยู่เบื้องหลังทั้งหมด
Rampant สเกลและโปรดักชั่นถือว่าใหญ่กว่า Train to Busan แต่ด้วยสเกลที่ใหญ่ขึ้น มันจึงคุมคุณภาพยากกว่าและตัดต่อยากกว่า กล่าวคือ ใน Train to Busan ส่วนใหญ่ฉากมันก็อยู่บนรถไฟ ตัวละครหลักส่วนใหญ่ก็อยู่กระจุกกันเป็นกลุ่มสองกลุ่ม แต่ Rampant มันมีทั้งตัวพระเอกที่สกิลบู๊เก่งกาจ แต่ไม่สนใจบัลลังก์ และกวนตีน รวมถึงทีมของพระเอก ไหนจะทีมตัวโกง และตัวละครอีกมากมาย กับโลเกชั่นที่กว้างมากขึ้น แล้วทีนี้ Rampant มันยังตัดต่อไม่ค่อยสมูธ คนดูอย่างเราต้องใช้ไหวพริบจับต้นชนปลายเอาเอง ซึ่งแรก ๆ จะงง ๆ หน่อย เพราะไม่คุ้นหน้านักแสดงเกาหลีเลยสักคน ชื่อตัวละครเป็นภาษาเกาหลีก็ยิ่งแล้วใหญ่ แต่ก็ดูได้เรื่อย ๆ ไม่ได้รู้สึกเบื่อหรือดูยากอะไรขนาดนั้น
แต่อย่างน้อย ถ้าพิจารณาแยกเป็นฉาก ๆ เราว่าแต่ละซีน ๆ ของเขาทำได้สนุกและบันเทิงดี ฉากแอ็คชั่นต่อสู้ก็มัน(ส์) พระเอกเก่งเว่อร์วัง ซอมบี้ก็เยอะสะใจโคตร ๆ (เน้นปริมาณ) แต่ซอมบี้เวอร์ชั่นนี้กลัวแสงอาทิตย์ จะออกมาได้แต่ตอนกลางคืน ช่วงกลางวันก็จะเป็นช่วงให้คนพักหายใจและเตรียมแผนรับมือกับซอมบี้ตอนกลางคืน (ซึ่งก็ไม่ใช่พล็อตใหม่อะไรสำหรับหนังซอมบี้) เราก็มีคำถามในหัวเรื่อย ๆ นะว่า ทำไมไม่เป็นฝ่ายรุกไปกำจัดซอมบี้ที่แอบแดดอยู่ตามซอกหลืบในช่วงกลางวัน แต่คนดูนอกจออย่างเราก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ต้องมองข้ามไป และเหมือนถูกโน้มน้าวให้เออออชื่นชมกับแผนรับของตัวละครไปตามน้ำว่า… เออ ฉลาดเนอะ
โดยสรุป พล็อตค่อนข้างธรรมดาและเชยไปหน่อย การตัดต่อก็ยังไม่ค่อยเป๊ะปัง ทำให้มันยังไม่ค่อยดี กงยูก็ไม่มี (อันนี้ส่วนตัว…) เทียบกับ Train to Busan ไม่ได้เลย (แอบผิดหวังเบา ๆ) แต่ฉากแอ็คชั่นเค้าก็จัดเต็ม และซอมบี้เยอะแบบวินาศสันตะโรมาก ถือว่าตอบโจทย์ความบันเทิงได้อยู่ ใครที่ชอบดูหนังซอมบี้ทุกเกรดอยู่แล้ว มาดูเรื่องนี้ ก็น่าจะยังดูสนุกอยู่นะ คือไม่แย่ แต่แค่ไม่ดีเท่า Train to Busan จบ.
47 comments
Comments are closed.