Jumanji: Welcome to the Jungle (2017) ของผู้กำกับ Jake Kasdan (ที่ The Rock หรือ Dwayne Johnson ขึ้นแท่นโปรดิวซ์เองและแสดงนำเอง) ที่รีบู๊ทจากหนังเกมกระดานชื่อดังในตำนาน Jumanji (1995) (ที่แสดงนำโดย Robin Williams และ Kirsten Dunst) ก็ถือว่าประสบความสำเร็จทั้งในด้านรายได้และคำวิจารณ์เมื่อเทียบกับหนังที่รีบู๊ทจากหนังดังในอดีตเรื่องอื่น ๆ
และเราก็เชื่อว่า ทีมงานเค้าคงแพลนทำไตรภาคให้ Jumanji เวอร์ชั่นวิดีโอเกมนี้เอาไว้อยู่แล้วแหละ ในปลายปี 2019 นี้ เราจึงได้ดู Jumanji: The Next Level ซึ่งก็ดูเป็นภาคต่อที่ไม่ได้แย่อีกเช่นกัน เมื่อเทียบกับหนังภาคต่อของหนังบล็อกบัสเตอร์ดัง ๆ เรื่องอื่น ๆ
เรื่องย่อ Jumanji: The Next Level
ในภาคนี้ เด็ก ๆ สี่คนซึ่งเป็นตัวละครหลักในภาคแรกก็ยังกลับมากันครบถ้วน เพียงแต่ทุกคนแยกย้ายกันไปอยู่มหา’ลัยแล้ว และกลับมาเจอกันในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวส่งท้ายปี ได้แก่ เด็กเนิร์ด Spencer (Alex Wolff จาก Hereditary), นักกีฬาผิวสีบึกบึน Fridge (Ser’Darius Blain จาก Charmed), สาวฮอตสายโซเชียลฯ Bethany (Madison Iseman จาก Goosebumps 2), และสาวที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง Martha (Morgan Turner จาก Invincible)
ในภาคแรก จบลงที่ Spencer กับ Martha ลงเอยเป็นแฟนกัน แต่ในภาคนี้ เปิดเรื่องมา Spencer กับ Martha ห่างกันแล้ว อยู่ในสถานะ “complicated” และ Spencer ก็ดูไม่แฮปปี้กับชีวิตมหา’ลัยที่นิวยอร์ก ในขณะที่ Martha ดูมีชีวิตใหม่กับเพื่อนใหม่ในรั้วมหา’ลัยที่แฮปปี้ดี
ด้วยความรู้สึกไม่พึงพอใจในความ loser ของตนเองนั้น ทำให้ Spencer ตั้งใจให้เกม Jumanji ดูดเข้าไปในเกม เพื่อที่เขาจะได้กลับไปเป็น Dr.Smolder Bravestone (Dwayne Johnson จาก Journey 2: The Mysterious Island) นักผจญภัยสายบู๊ที่เท่ล่ำบึ้กอีกครั้ง ทั้งที่เกมก็ดูเหมือนจะพังแหล่มิพังแหล่

หลังจากเพื่อน ๆ รู้ว่า Spencer เข้าไปในเกม ก็ตัดสินใจเข้าไปในเกมด้วยเพื่อไปช่วย Spencer แต่เนื่องจากเกมอยู่ในสภาพไม่ค่อยสมประกอบ ทำให้ Bethany ไม่ถูกดูดเข้าไปเหมือนคนอื่น แต่เกมกลับดูดคุณตา Eddie (Danny DeVito จาก Batman Returns) คุณตาของ Spencer กับคุณตา Milo (Danny Glover จาก Lethal Weapon) ซึ่งเป็นเพื่อน (เก่า) ของคุณตา Eddie เข้าไปในเกมด้วยแทน
และเนื่องจากเกมอ๊องอยู่ ทุกคนจึงไม่ได้เลือก Avatar เหมือนครั้งที่แล้ว และมีความวุ่นวายกว่าเดิมเมื่อคุณตา Eddie ต้องมาเป็น Dr. Bravestone ซึ่งเป็นร่างเดิมของ Spencer และคุณตา Milo ได้เป็นนักสัตววิทยาขาสั้น Mouse Finbar (Kevin Hart จาก Central Intelligence) ซึ่งเดิมเป็นร่างของ Fridge ส่วน Fridge ก็ต้องไปเป็นนักแผนที่วิทยา Sheldon (Jack Black จาก Goosebumps) มีแต่ Martha ที่ยังได้เป็นร่างเดิม นั่นคือ นักฆ่าสาวสวยขาบู๊ Ruby Roundhouse (Karen Gillan จาก Guardians of the Galaxy)
และในขณะเดียวกัน Bethany ก็วิ่งไปตาม Alex (Colin Hanks จาก King Kong) ซึ่งเคยติดอยู่ในเกมกว่ายี่สิบปี ให้มาช่วยหาทางเข้าไปช่วยเพื่อน ๆ ในเกมอีกครั้งด้วย (และ Alex ก็กลับไปเป็น Nick Jonas สุดหล่อในเกมอีกครั้ง)
โดยภารกิจของเกมครั้งนี้คือ ต้องไปเอาอัญมณีจูแมนจี้ ที่ถูกขโมยไปตัวร้าย Jurgen the Brutal (Rory McCann จาก Game of Thrones) กลับคืนมา พร้อม ๆ กับตามหา Spencer ด้วย ซึ่งครั้งนี้เขาได้ติดอยู่ในร่าง Avatar ของ Ming ตีนแมวที่เป็นผู้หญิงเอเชีย (Awkwafina จาก The Farewell)

รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ JUMANJI: THE NEXT LEVEL
หนังไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่จากภาคแรกมากนัก ความรู้สึกสดใหม่จึงมีไม่เท่าภาคแรก กล่าวคือ หนังก็เดินตามสูตรสำเร็จเดิมของตนเอง และมีการเอามุกเดิมที่เคยได้ผลในภาคแรกมารีไซเคิล ซึ่งมันก็ยังคงพอจะได้ผลอยู่ดีแหละในภาคนี้ เพราะพลังการแสดงและความฮาของเหล่านักแสดงนำ โดยเฉพาะ Jack Black และ Kevin Hart รวมถึงตัวละครใหม่อย่าง Awkwafina เอง ก็มีพลังแห่งความตลกอยู่ในตัวของนักแสดงเองอยู่แล้ว มุกเกี่ยวกับสีผิวก็โอเค ดูแล้วไม่รู้สึกอิหยังวะ
อย่างไรก็ดี หนังก็มีลูกเล่นใหม่ ๆ อยู่บ้าง อย่างการสลับร่าง ก็ให้ความรู้สึกที่ไม่ซ้ำจากภาคแรกได้เป็นอย่างดี เช่น Kevin Hart ที่ปกติจะเป็นสายฮาจำพวกเล่นใหญ่โวยวาย แต่ในภาคนี้ พอเขาต้องใส่คาแรกเตอร์ของคุณปู่ Milo เข้าไป ก็จะมีความพูดช้าเนิบ ๆ ขึ้น ซึ่งเขาก็ยังฮาได้ แบบว่าเล่นมุกพูดช้าซ้ำกี่ทีก็ยังฮาได้อยู่ หรือ Dwayne Johnson ที่มีความเกรียนและป่วงมากขึ้นเมื่อคุณปู่ Eddie มาสิงร่าง เป็นต้น (แล้วคนแก่นี่กว่าจะเก๊ตว่าตัวเองอยู่ในวิดีโอเกม ก็ชวนปวดหัวพอดู)
ในส่วนของการสลับร่าง เราคิดว่าเป็นพอยต์ที่น่าสนใจ เพราะมันสามารถเอาตัวตนของใครก็ได้ ซึ่งแตกต่างกันออกไป ไปอยู่ในตัวละครในเกมตัวหนึ่ง ซึ่งมีจุดแข็งและจุดอ่อนติดตัวมาแต่เกมกำเนิด (แต่ภาคนี้ก็มีจุดแข็งและจุดอ่อนที่แตกต่างจากเดิมอยู่เล็กน้อยนะ) คิดว่าพอยต์นี้ยังเล่นซ้ำได้อีก แต่คงจะซ้ำได้อีกแค่ครั้งสองครั้งนะอย่างเต็มที่ อย่างในภาคนี้ ก็ไปเน้นที่คนแก่ ไม่ได้เน้นที่ตัวละครเด็กสี่คน ซึ่งถ้าจะเล่นมุกสลับร่างอีกในภาคหน้า ก็ต้องมีมุกที่ขั้นกว่ากว่านี้ละ
ตัวละครในเกมเปรียบเสมือนอาวุธหรือเครื่องมือ ถ้ามันไปอยู่ในมือของคนที่ใช่ มันก็ย่อมเกิดประโยชน์มากกว่าไปอยู่กับคนที่ไม่ใช่ แต่ก็แน่นอน… บางครั้งเราก็เลือกเกิดไม่ได้ ในชีวิตจริง เราจะเลือกเป็นตัวนั้นตัวนี้ไม่ได้ เช่นเดียวกับที่ในชีวิตจริง เราก็ไม่ได้มี 3 ชีวิต

ในพาร์ทของผจญภัยแต่ละด่าน ซึ่งตามหลักก็ควรจะเป็นจุดขายของหนังแนวนี้ แต่มันก็ดันไม่ใช่จุดขายซะทีเดียว เราคิดว่าการผจฐภัยมันก็เรื่อย ๆ เหมือนภาคที่แล้ว ถ้าเทียบกับไดอะล็อกกับคาแรกเตอร์ของตัวละครต่าง ๆ แล้ว พาร์ทการผจญภัยหรือฉากบู๊ต่าง ๆ ยังโดดเด่นไม่เท่าไหร่ แต่โดยรวมก็ยังพอดูสนุก ยังพอลุ้นได้หอมปากหอมคอ เพียงแต่จุดขายมันอยู่ที่พลังของนักแสดงมากกว่า
โดยมันก็มีความเล่นใหญ่กว่าเดิม ตั้งแต่การซิ่งรถวิบากหนีฝูงนกกระจอกเทศที่เกรี้ยวกราด และฉากหนีลิงชนิดหนึ่ง (จริง ๆ Kevin Hart บอกชื่อลิงในหนัง แต่อีนี่ขำอยู่ เลยจำไม่ได้) บนสะพานแขวนที่ไม่รู้หนังมันเอาหลักเรขาคณิตมาเกี่ยวข้องได้ยังไง (อันนี้ที่ไม่รู้อาจเพราะอีนี่โง่เอง) แต่ก็เช่นเดิมกับภาคก่อน คือด่านสุดท้ายที่เจอตัวบอสหรือตัวร้ายหลักก็ไม่ได้มีการต่อสู้ที่น่าจดจำสักเท่าไหร่

นอกจากพาร์ทตลกและพาร์ทแอ็คชั่นผจญภัยแล้ว แฟรนไชส์นี้ยังขายดราม่าด้วย เช่น Spencer ที่รู้สึกขาด self-esteem เบื่อหน่ายชีวิต จนอยากจะไปเป็นตัวละครในเกมแทนที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริง (ซึ่งเป็นประเด็นที่คล้ายกับในซีรีส์ Black Mirror บน Netflix) และความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ Martha จนไปถึงความสัมพันธ์ของเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ระหว่างคุณตาทั้งสอง
ซึ่งเราก็ชื่นชมในความพยายามที่แฟรนไชส์ยังพยายามใส่ความ coming-of-age ลงไปให้กับทุกเจนเนเรชั่น (ภาคนี้เน้นคนแก่มากกว่า) เพียงแต่รู้สึกว่ามันยังไม่ค่อยสุด และถ้าเทียบกับที่แฟรนไชส์เคยทำไว้เองในภาคแรก เราว่าดราม่าภาคนี้ยังไม่ค่อยสุดและดูพยายามไปเสียหน่อย
โดยรวม ภาคนี้ก็ยังพอดูได้ เพลิน ๆ ขำ ๆ เหมาะแก่การดูส่งท้ายปี แต่เราชอบภาคแรกมากกว่านิดหน่อย เพราะภาคแรกมันมีความสดใหม่กว่าด้วยแหละ มันเลยรู้สึกว่าสนุกกว่า แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากได้ดูฉากแถมช่วงเครดิตแล้วเนี่ย บอกเลยว่า รอดูภาคสามมาก ๆ จ้าาาา~
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 7/10
54 comments
Comments are closed.