วันนี้ อุตสาหกรรมภาพยนตร์เกาหลีเขาไปไกลจนถึงดาวอังคารแล้ว… กับหนังเกาหลีฟอร์มยักษ์เรื่องล่าสุดของ Netflix ภายใต้ชื่อ Space Sweepers (original title: Seungriho) โดยผู้กำกับ Jo Sung-hee (จาก A Werewolf Boy)
หนังไซไฟอวกาศเรื่องแรกของเกาหลี
Space Sweepers ดูเหมือนจะได้ inspiration มาจากหนังไซไฟหลาย ๆ เรื่อง เช่น บรรยากาศบนโลกก็มีฟีลคล้ายกับ Blade Runner 2049 ส่วนบนอวกาศ ก็ให้ฟีลของ Guardians of the Galaxy กับ Star Wars เป็นต้น ซึ่งงานโปรดักชั่น ซีจี และวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ นี่ต้องชื่นชมนะ ทำออกมาได้ดีเกินคาดมาก
หนังเล่าเรื่องในอนาคต ปี 2092 ที่โลกเต็มไปด้วยอากาศที่เป็นมลพิษจนสิ่งมีชีวิตไม่สามารถหายใจได้โดยปราศจากอุปกรณ์ช่วยกรองการหายใจ (เชื่อว่า คนไทยทุกคนคงจินตนการโลกใบนั้นออกไม่ยาก) คนรวยหรือคนมีอำนาจเพียง 1% ของประชากรโลกได้ใช้เงินพาตัวเองย้ายขึ้นไปอยู่ยังสวนอีเดนยูโธเปียแห่งใหม่นอกโลก ครีเอทโดยบริษัท UTS ของ James Sullivan (Richard Armitage จาก The Hobbit) ในขณะที่ประชากรอีก 99% ต้องมีชีวิตอยู่บนโลกอย่างยากลำบาก บ้างก็อพยพไปเป็นแรงงานต่างด้าวบนอวกาศ ซึ่งหายใจหายคอสะดวกขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังคงกัดก้อนเกลือกิน และไร้หนทางที่จะลืมตาอ้าปากได้ เพราะค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำหรือรายได้สวนทางกับค่าครองชีพ ยังไม่นับภาษี ค่าปรับ หรือดอกเบี้ยเงินกู้ธนาคาร ฯลฯ
วันหนึ่ง กลุ่มคนชายขอบของจักรวาล… ทีมภารโรงเก็บขยะอวกาศแห่งยาน Victory อันประกอบไปด้วย Captain Jang (Kim Tae-ri จาก The Handmaiden), Tae-Ho (Song Joong-Ki สามีแห่งจักรวาล จาก The Battleship Island), Tiger Park (Jin Seon-Kyu จาก Kingdom), และหุ่นดรอยด์ Bubs (Yoo Hae-Jin จาก A Taxi Driver) ได้บังเอิญเจอกับ. Dorothy (Park Ye-Rin) เด็กหญิงวัย 7 ขวบ ที่กำลังอยู่ในข่าวว่าเป็น “ระเบิดเดินได้ที่หายไป” พวกเขาจึงคิดจะเอาเด็กหญิงคนนี้ไปแลกกับเงินก้อนใหญ่ เพื่อที่จะได้มีเงินไปจ่ายหนี้ และทำตามเป้าหมายที่อยากทำ

“Between repairs and fines, we just pay debt with more debt.”
จุดเด่นคือความหลากหลายทางภาษาและวัฒนธรรม
สิ่งที่น่าสนใจและเป็นจุดเด่นของหนังเรื่องนี้คือ เขาทำโลกในอนาคตเป็น multicultural world นอกจากจะมีตัวละครหลากหลายเชื้อชาติแล้ว แต่ละตัวละครยังพูดภาษาแม่ของใครของมันในการสื่อสารกันโดยมีเครื่องแปลภาษาหนีบอยู่ที่หู (ตอนแรก คิดว่าจะได้ฟัง accent Joong-Ki ตอนสปีคอิงลิชอีกซะอีก อดเลย) คนที่พูดภาษาอังกฤษส่วนใหญ่เป็นผู้ทรงอิทธิพล มีเงิน มีอำนาจ เช่น CEO ที่เป็นตัวการร้ายของเรื่อง และเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ
หนังไม่สุดสักทาง แต่ก็ยังเป็นหนังที่น่าสนับสนุน
นอกจากนี้ หนังก็มี subplot ประมาณหนึ่ง ทั้งประเด็นสิ่งแวดล้อม ทุนนิยม มนุษยธรรม และทรานเจนเดอร์ แต่ก็ไม่ได้ใหม่หรือหวือหวานัก อีกทั้งยังกระจายหรือจัดการไม่ค่อยลงตัว แถมหนังยังยาวเกินความจำเป็นไปหน่อย แอบง่วงไป 2-3 ที (หนังยาว 2 ชั่วโมง 16 นาที) ลึก ๆ ก็แอบเสียดายนิดหน่อย เพราะปกติหนังเกาหลีจะทำได้ดีกว่านี้สำหรับการเสียดสีสังคมทุนนิยมหรือระบบชนชั้น
ในส่วนของอารมณ์ นักแสดงหลักเล่นดีนะ แต่เราคิดว่าหนังยังพาเราไปได้ไม่สุดสักทาง กล่าวคือ แอ็คชั่นก็ไม่ได้ว้าวขนาดนั้น (แต่ก็พยายามคิดว่า อาจเพราะเราดูบนจอเล็กที่บ้าน) ดราม่าก็ไม่ได้เข้มข้นขนาดนั้น (หรือเพราะเรานอนดูที่บ้าน เลยไม่ได้ตั้งใจอิน?) มุกก็ไม่ได้ฮาแบบหนัง Marvels หรือใดใด แต่โดยรวม เป็นหนังที่ดูได้เพลิน ๆ เรื่อย ๆ ในครัวเรือน และขอให้คะแนนในความพยายาม ที่สำคัญหนังมี Song Joong-Ki เป็นพระเอกด้วยอีก เป็นอันหักล้างข้อด้อยของหนังได้ ไม่ต้องพูดเยอะ

โดยสรุป Space Sweepers เป็นหนังไซไฟอวกาศเรื่องแรกของเกาหลีที่น่าเอาใจช่วย ถึงแม้อาจจะยังไม่ปังเมื่อเทียบกับหนังฮอลลีวู้ด และบทดูเป็นสูตรสำเร็จไปหน่อย แต่ถ้ามองในฐานะหนังเอเชีย นี่คือจุดเริ่มต้นที่ดี โดยเฉพาะงานซีจีและโปรดักชั่นนี่เกินมาตรฐานนะ ถือเป็นความหวังของหมู่บ้าน หรือไม่… ดีไม่ดี ในอนาคต เราอาจจะไม่มีการแยกประเภทว่า หนังฝรั่ง หนังจีน หนังเกาหลี หรือหนังไทย… แล้วก็ได้…
อืม… แต่พอพูดมาถึงคำว่า “หนังไทย”…. ก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีกดี… เอาเป็นว่า ถ้าปกติคุณดูหนังไทยได้ หรืออยากให้หนังไทยพัฒนาไปทางไหน ขอแนะนำให้ลองเริ่มต้นจากการดู Space Sweepers วันนี้ก็ได้ ง่าย ๆ
“In space, there’s no up or down. From the universe’s viewpoint, nothing is worthless or precious. Everything is precious in its own place.”
2 comments
Comments are closed.