ว่ากันตรง ๆ แบบไม่อ้อมค้อม เราดู Suspiria รอบสื่อมาตั้งแต่ 29 ต.ค. จนตอนนี้ 3 พ.ย. (เพิ่งว่างเขียนบล็อก) ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่ตกตะกอนหรือเข้าใจอะไรจากหนัง Suspiria สักเท่าไหร่ (จะพูดตรง ๆ ว่าดูไม่รู้เรื่องก็ไม่ผิดนัก) ทั้งนี้เพราะหนังแนวแม่มดอาศัยการตีความขั้นสูงมันไม่ใช่ทางของเราเลยจริง ๆ (ถึงแม้ปกติจะชอบตีความสารจากหนังอยู่บ้างก็เถอะ)
Suspiria เป็นหนังที่มีวัตถุดิบดี มีความอาร์ตสูง คือเป็นหนังที่ดีสมราคาผู้กำกับและผู้กำกับภาพ Call Me by Your Name เลยแหละ (คุณ Luca Guadagnino ชาวอิตาเลียน และ Sayombhu Mukdeeprom ชาวไทยตามลำดับ) การแสดงก็มี Tilda Swinton (จาก Doctor Strange) ดาราออสการ์เบอร์ใหญ่ มารับบทนำของเรื่องและบทสมทบอีกสองบท (รวมแล้วเล่นคนเดียวสามบทบาทในเรื่องเดียว) แต่หนังค่อนข้างตีความยากและมี subplot เยอะเกินไป
เนื้อเรื่องหลัก ๆ ที่คนดูทั่วไปอย่างเราจะจับใจความได้คือ สาวอเมริกัน Susie Bannion (Dakota Johnson จาก Fifty Shades of Grey) เดินทางมาเบอร์ลินตะวันตก (เรื่องเกิดในยุคสมัยสงครามเย็นที่ยังมีกำแพงเบอร์ลินคั่นกลางแบ่งเมือง) เพื่อเข้าร่วมคณะเต้นที่ Markos Dance Company ซึ่งบริหารโดย Madame Blanc (Tilda Swinton) ซึ่งฝีมือของ Susie เข้าตา จนได้ขึ้นแท่นเป็นนักเต้นตัวเอกในการแสดง ‘Volk’ แทนที่ตำแหน่งของ Patricia (Chloë Grace Moretz จาก Kick-Ass) นักเต้นคนเก่าซึ่งหายตัวไป ข่าวลือก็บอกว่าเธอเป็นกบฏจนต้องหนีหัวซุกหัวซุนเข้ากลีบเมฆ แต่จิตแพทย์ของเธอ Dr. Josef Klemperer (Tilda Swinton อีกนั่นแหละ) เชื่อว่า Patricia ถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวอยู่ที่สถาบันเต้นโดยกลุ่มอาจารย์โรคจิตที่ Patricia เรียกว่า “แม่มด”
ถึงแม้เราจะเข้าถึงสิ่งที่หนังเรื่องนี้ต้องการจะสื่อน้อยมาก และคิดว่าความยาวหนังสองชั่วโมงครึ่งมันค่อนข้างยาวเกินไปสักหน่อยสำหรับสมองน้อย ๆ ของเราและสำหรับหนังที่ดูยากเบอร์นี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนังเรื่องนี้คือศิลปะที่แท้ทรู ทั้งงานภาพและดนตรี รวม ๆ เหมือนศิลปะชั้นสูงที่ติดวางอยู่ในแกลอรี่ ซึ่งต้องใช้สายตาอันเฉียมคม อารมณ์ศิลปินอันสุนทรีย์ และความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับประเด็นนั้น ๆ เล็กน้อย เราจึงจะชื่นชมหนังเรื่องนี้ได้อย่างอิ่มเอม
และถึงแม้เนื้อหาของหนังจะไม่ได้เข้าหัวของเรามากมายนัก แต่ก็มีหลายฉากที่จดจำ เป็นภาพจำติดตาติดหัวเรามาจนถึงทุกวันนี้ และไม่รู้ว่าจะสลัดออกจากหัวหรือลืมมันลงได้เมื่อไหร่ หนึ่งในนั้นคือฉากเต้นที่สยดสยอง โหดร้าย รุนแรง และน่ากลัวสำหรับคนขวัญอ่อนอย่างเรา ขนาดปิดตาดูฉากนั้นก็แล้ว ก็ยังมีภาพติดตามาได้ (สงสัยต้องขอกลับไปหา Call Me by Your Name ดูนุ้งทิโมธีล้างตาก่อน TT)
หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังสำหรับทุกคน แต่หนังที่เข้าใจยากแบบนี้แหละมักจะเป็นหนังที่ดี ถ้าใครเข้าใจมันได้ คุณก็จะค้นพบอะไรมากมายจากหนังในแบบที่คนดูทั่วไปไม่อาจเข้าถึงมันได้ และมันอาจจะเป็นหนังมาสเตอร์พีซ… ขึ้นหิ้งหนังในดวงใจประจำปีของคุณได้ไม่ยากเลย
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 7/10
29 comments
Comments are closed.