“There is a place like no other on Earth — a land full of wonder, mystery, and danger. Some say to survive it you need to be as mad as a hatter.”
คำว่า Terminal แปลได้หลายอย่าง เช่น สถานีรถไฟ, ปลายทางสิ้นสุด, ระยะสุดท้าย (เช่น โรคมะเร็ง) ฯลฯ และนั่นอาจคือที่มาที่ว่าหนังเรื่องนี้ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสถานีรถไฟ ความตาย และโรคมะเร็ง ถูกตั้งชื่อว่า Terminal (ไม่เกี่ยวกับ The Terminal หนังของ Steven Spielberg แต่อย่างใด)
Terminal เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ Margot Robbie (จาก Suicide Squad และ I, Tonya) เป็นทั้งโปรดิวเซอร์เองและแสดงนำเอง และเป็นบทผู้หญิงบ้าคลั่งไร้สติแนวที่เธอชื่นชอบอีกเช่นเคย แถมเรื่องนี้จะไม่ได้มีแค่เธอที่บ้าอยู่คนเดียว หากแต่รวมคนบ้าคลั่ง 5 คนมาเจอกันในเมืองสมมติเล็ก ๆ เมืองหนึ่งที่มืดมัว มีแต่แสงไฟนีออนในยามค่ำคืน เต็มไปด้วยสิ่งยั่วยุ ความรุนแรง สิ่งเสื่อมโทรม
Annie (Margot Robbie) เป็นสาวเสิร์ฟร้านกาแฟใกล้สถานีรถไฟ เป็นเสมือนจุดศูนย์กลางของเรื่องที่ผู้ชายทุกคนในเรื่องต้องได้พบและมีบทสนทนาร่วมกับเธอ ตั้งแต่ Bill (Simon Pegg จาก Star Trek และ Mission: Impossible) ครูสอนภาษาที่กำลังป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย มีความคิดจะมาฆ่าตัวตายที่สถานีรถไฟ แต่เผอิญมาช่วงดึกที่รถไฟหมดรอบแล้ว ภารโรงเพี้ยน (Mike Myers จาก Austin Powers) จึงบอกให้เขาไปรอรถไฟที่ร้านกาแฟซึ่งเปิด 24 ช.ม. นอกจากนี้ ก็มีคู่หูนักฆ่ารับจ้าง Vince (Dexter Fletcher จาก Kick-Ass) และ Alfred (Max Irons จาก The Host) ที่มาประชุมแผนกันที่ร้านกาแฟแห่งนี้
สำหรับเรื่องนี้ เรามองว่าเหมือนหนังทำมาให้ Margot Robbie (ซึ่งล่าสุดเพิ่งได้ดีกรีเป็นผู้เข้าชิงออสการ์มาหมาด ๆ) โชว์ของ ปล่อยพลังความโรคจิต และเล่นแต่งตัวตุ๊กตา (ตัวเอง) ยังไงก็ไม่รู้ ตัวละคร Annie เป็นตัวละครหญิงที่มีปม ลึกลับ มาล้างแค้น และดูสามารถคอนโทรลสถานการณ์ได้ทุกอย่าง เหมือนหนังจะพยายาม empower women แต่เราไม่รู้สึกว่ามันทำด้วยวิธีที่โอเค ในขณะเดียวกันก็มีตัวละครนักฆ่า Vince ที่เหมือนชายแก่เหยียดเพศอย่างเห็นได้ชัดนั่นอีกคนด้วย
สิ่งที่ไม่ชอบอีกอย่างหนึ่งคือการตัดต่อ หนังเหมือนอยากเล่น อยากทำให้เรื่องที่ไม่ค่อยมีอะไรให้มันดูมีอะไร โดยการไม่เล่าเรื่องตามลำดับไทม์ไลน์ ซึ่งปกติเราก็ต้องมาปะติดปะต่อเองว่าใครเป็นใคร ใครทำอะไร นี่มันตอนไหนยังไง ฯลฯ เราก็เข้าใจว่าต้องการให้น่าติดตามและรักษาธีมหนังให้ดู mysterious แต่โดยส่วนตัวคิดว่าชั้นเชิงเค้ายังไม่ถึงขึ้น มันเลยยังไม่ใช่ แต่ดีที่พอมีสิ่งที่ยังชอบอยู่ก็คือ การสร้างบรรยากาศให้ดูลึกลับ ถือว่าครีเอทเมืองและโปรดักชั่นดีไซน์ออกมาได้ดี รวมถึงการถ่ายภาพต่าง ๆ
หนังมีจุดทวิสต์ที่ไม่อาจสปอยล์ได้ เป็นจุดทวิสต์ที่ทั้งคาดเดาได้และไม่ได้ในตลอดเวลาที่นั่งดู เป็นจุดทวิสต์ที่เราทั้งชอบและไม่ชอบ แต่ที่แน่ ๆ ไม่ใช่จุดทวิสต์ที่รู้แล้วต้องรู้สึกตกตะลึงอะไรขนาดนั้นและไม่น่าจดจำอะไรเลย สำหรับเรา เราคิดว่าเรื่องนี้เป็นหนังที่ไปดูก็ได้ ไม่ไปดูก็ได้ (คือไม่ได้แย่ขนาดดูจบแล้วอยากด่า แต่ก็ไม่ได้ดีถึงขั้นอยากจะแนะนำให้คนอื่นไปดูหรือดีขนาดที่ว่าถ้าไม่ดูแล้วคุณจะพลาดอะไรไป)
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 6.5/10
เข้าฉาย 31 พฤษภาคม นี้
73 comments
Comments are closed.