เป็นสัปดาห์ที่หนักหน่วงใช่หยอก วันอังคารดู The Hateful Eight ที่แฝงการเมืองอเมริกา วันพุธก็มาดู The Big Short ซึ่งเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเงินของอเมริกาต่อเลย โดยเรื่องนี้เป็นหนังที่สร้างจากเรื่องจริงของ financial crisis of 2007–2008 และอิงจากหนังสือ bestseller ชื่อว่า The Big Short: Inside the Doomsday Machine (2010) ของ Michael Lewis
เรื่องย่อ The Big Short
ในปี 2005 Dr. Michael Burry (Christian Bale จาก The Dark Knight) ผู้ก่อตั้ง Scion Capital เล็งเห็นว่าตลาดบ้าน (housing market) กำลังจะพังครืนลงในช่วงไตรมาสสองของปี 2007 เขาจึงฉวยโอกาสแสวงหากำไรมหาศาลจากความเสี่ยงนี้ โดยการสร้าง credit default swap market ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากทางลูกค้าของเขาเอง
Jared Vennett (Ryan Gosling จาก Drive) เทรดเดอร์หนุ่มหล่อแห่ง Deutsche Bank ได้ยินข่าวเข้าก็วิเคราะห์แล้วเห็นว่ามันมีแนวโน้มจะเป็นจริวตามที่ Dr. Michael Burry คาดการณ์ไว้ก็เลยไปโน้มน้าว Mark Baum (Steve Carell จาก Foxcatcher) ผู้จัดการกองทุนใหญ่ของ FrontPoint Partners ให้มาร่วมลงทุนจอยกันรวย
ในขณะเดียวกัน คู่หูนักลงทุนมือใหญ่ไฟแรงหวังรวยล้นฟ้า Charlie Geller กับ Jamie Shipley (John Magaro กับ Finn Wittrock จาก Unbroken ตามลำดับ) ได้ยินข่าวของ Vennett เข้าก็สนใจเอาด้วย แต่ด้วยเงินน้อยด้อยประสบการณ์ พวกเขาจึงต้องไปให้อดีตนายแบงค์ใหญ่ Ben Rickert (Brad Pitt จาก Fight Club) มาช่วยด้วย
การวิเคราะห์คาดการณ์ของ Dr. Michael Burry (ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนของคนอื่นๆ ด้วย) จะออกหัวหรือออกก้อย จะส่งผลกระทบมากน้อยอย่างไรบ้าง ใครจะรวยใครจะล่ม ติดตามวิถีนักลงทุนของพวกเขาได้ใน The Big Short
รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ The Big Short
ก่อนหน้านี้ เห็นเขาบอกกันว่า The Big Short มันเป็นหนังฟีลหุ้นๆ รวยๆ เหมือน The Wolf of Wall Street ที่รวบรวมดาราใหญ่ไว้มากหน้าหลายตา ไม่ว่าจะเป็น Christian Bale, Steve Carell, Ryan Gosling, และ Brad Pitt ซึ่งทุกคนเล่นดีมากกกกก ระดับเทพเลย และที่สำคัญ… หนังได้เข้าชิงรางวัลหลายสาขาหลากเวทีอีกด้วย
ดังนั้น เราก็เลยตัดสินใจมาดู The Big Short อย่างไม่ลังเล ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องการเงินการลงทุนเลยสักนิด มั่นหน้าปะล่ะ :3
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เราจะเข้าไปดู The Big Short แบบโง่ๆ กลวงๆ ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับแวดวงเขาเลย แต่เราก็ดูรู้เรื่องนะ ถ้าตั้งใจดูจริงจัง และมีสติในการดูตลอดเวลา เราก็จะ catch up ได้ทันสบายๆ เพราะหนังเขาเล่าเรื่องย่อยยากด้วยภาษาง่ายๆ และมีของเล่นประกอบตัวอย่างให้เราเห็นภาพองค์รวมของเรื่องราวการลงทุนนั้นๆ อย่างแจ่มแจ้งตลอดเรื่อง
เช่น เอานักแสดงสาวจาก The Wolf of Wall Street อย่าง Margot Robbie กับนักร้องซูเปอร์สตาร์สาวป๊อปอย่าง Selena Gomez มาพูดเรื่องเหล่านั้นด้วยภาษาที่สามัญชนอย่างเราฟังรู้เรื่อง (อย่างน้อยก็รู้เรื่องกว่าเอาเนิร์ดมาเลคเชอร์เรื่องที่ยากอยู่แล้วให้ยากกว่าเดิม)
อาจจะมีบ้างในเชิงดีเทลยิบย่อยที่เราเข้าไม่ถึง แต่ความโง่นั้นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการติดตามเนื้อเรื่องของหนังเลยนะ มันก็ไหล flow ไปตามท้องเรื่องของมันได้ปกตินั่นแหละ เหมือนทำข้อสอบ reading อะค่ะ ก็ skimๆ ไปได้บ้าง เน้นเก็บเอาแค่ main ideas หลักๆ ก็โอเคแล้ว อย่าไป take it too serious ให้เสียอรรถรสในการชมหนังสนุกๆ ให้มากนัก
ที่เราชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้คือ หนังเขาตัดต่อดีมีชั้นเชิง สร้างสรรค์ดี คือชอบที่การตัดต่อเขาสะท้อนระบบทุนนิยมของโลกได้เวรี่ปัง ปัง ปัง! ไดอะล็อกก็กวนตีนคมคาย ยังไม่นับการแสดงขั้นเทพของหนุ่มๆ อีกนะ โอ้โห พูดเลยว่านี่เป็นหนังที่เล่าเรื่องซีเรียสๆ ได้สนุกมากกกกก โดยรวมคือดูได้เพลินๆ ไม่มีเบื่อเลย คนที่ไม่รู้เรื่องการลงทุนเลยก็ดูได้ คนที่มีความรู้ความสนใจในด้านนี้อยู่แล้วก็ยิ่งดูดี เวรี่แนะนำ
อย่างเราเนี่ย… ก็จัดอยู่ในหมวดของคนดูที่ไม่รู้อะไรเลย (อะไรที่เกี่ยวกับตัวเลขคือโง่บรมมาแต่บรรพกาล) ดังนั้นเราจะไม่ซีเรียสกับสาระด้าน financial มากนัก ผลคือ เราก็เข้าใจในข้อคิดหรือ point อื่นๆ ที่สำคัญและ adapt ไปใช้ได้จริงใน aspect อื่นๆ ในชีวิตประจำวันของเราได้
อย่างที่เราจะเห็นได้ว่า ตัวละครหลักๆ ในหนังทุกตัวจะเป็นนักลงทุนกันทั้งสิ้น โดยแต่ละคนจะมีคาแรกเตอร์ที่เป็นจุดเด่นแตกต่างกัน เป็นตัวแทนของนักลงทุนหลายๆ ประเภทในโลกแห่งความเป็นจริง อย่างเช่น…
- Dr. Michael Burry (Christian Bale) จะเป็นคนมีวิสัยทัศน์ มองการณ์ไกล กล้าเสี่ยงกล้าลงทุน แต่เป็นคนไม่เข้าสังคมและใช้ชีวิตอย่างบ้านๆ (คือเห็นแล้วไม่อยากเชื่อว่าอีตานี่ถือเงินกว่าหมื่นล้านพันล้าน)
- Mark Baum (Steve Carell) ที่ไม่เอาระบบ ไม่ค่อยเชื่อใครง่ายๆ สบถหยาบคายตลอดเวลา
- Jared Vennett (Ryan Gosling) เป็นเหมือนนักเล่นหุ่นหลายคนที่พบเห็นได้ทั่วไป ฉวยโอกาสอย่างว่องไว มักลงเสี่ยงดวงตามพวกคนเก่งๆ ดังๆ หรือคนที่วินบ่อยๆ
- Ben Rickert (Brad Pitt) จะเป็นพวกนักลงทุนผู้มากประสบการณ์และคอนเนคชั่น หากแต่พอใจกับเม็ดเงินแล้ว รีไทร์ตัวเองแล้ว ขอออกไปใช้ชีวิตแบบพอเพียง เช่น ปลูกผักออแกร์นิค เกร๋ๆ
- และสองหนุ่มดูโอ Charlie Geller กับ Jamie Shipley (John Magaro กับ Finn Wittrock) ก็จะเป็นตัวแทนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ไฟแรงที่สนใจลงทุนเพราะอยากรวยเหมือนคนอื่นๆ ที่ประสบความสำเร็จจากการลงทุน
ซึ่งอย่างที่เล่าไปในเรื่องย่อข้างต้น คนที่อยู่ห่วงโซ่ชั้นบนสุดคือผู้ที่มีวิสัยทัศน์ มองเห็นกำไรก่อนเพื่อน นั่นก็คือ Dr. Michael Burry ซึ่งถ้า Dr. Michael Burry ถูก มันก็รวยก็ถ้วนหน้า แต่ในทางกลับกัน ถ้า Dr. Michael Burry ผิด มันก็ล้มละลายกันถ้วนหน้าเช่นกัน
ความแตกต่างระหว่าง Dr. Michael Burry กับตัวละครอื่นๆ ไม่ใช่แค่ความมี visionary สิ่งที่ทำให้ Dr. Michael Burry แตกต่างจากคนอื่นจริงๆ คือ ก่อนที่เขาจะเชื่อคนอื่นหรือแม้แต่เชื่อในตัวเขาเองก็ตาม เขาจะต้องมีการหา source มายืนยันด้วยตัวเอง และมีการ research อย่างจริงจังด้วย (เปรียบเทียบความหนาของ report ของแต่ละคนในหนังได้) ในขณะที่คนอื่นๆ มักจะเชื่อและตามอะไรง่ายๆ มากกว่าจะคิดเองหาเองอย่างจริงจัง (- คือก็หานะ แต่ไม่จริงจัง ไรงี้ -) แต่ เออ ยกเว้นทีมของ Mark Baum ไว้อีกสักคนก็ได้
ดังนั้น… ถึงแม้ว่าเราจะไม่ใช่คนในวงการการลงทุน เราก็สามารถเอาคุณสมบัติเด่นๆ ของตัวละครแต่ละคน โดยเฉพาะนิสัยที่ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ โดยปราศจากการพิสูจน์ของ Dr. Michael Burry กับ Mark Baum ไปปรับใช้ได้ เพื่อที่จะประสบความสำเร็จหรือร่ำรวยในสายงานของเราเอง
อย่างไรก็ดี นักลงทุนที่รวยล้นฟ้าทั้งหลายเหล่านี้ ก็ใช่ว่าจะดีเด่ไปหมดซะทุกอย่าง อย่างที่บอกไปข้างต้น… หลายคนมีสกิลการเข้าสังคมต่ำมาก หรือบางคนก็เข้าข่ายเห็นแก่ตัวเอาแต่ได้โดยไม่สนใจความทุกข์ร้อนของคนอื่นก็มี ซึ่งเราก็ต้องใช้วิจารณญาณในการไตร่ตรองให้รอบด้านอย่างถ้วนถี่
…โดยเฉพาะในด้านของ “ความสงบสุข” หรือ “ความพึงพอใจในชีวิต”… ดูดีๆ ว่า ตลอดระยะเวลา 130 นาทีในหนังเรื่องนี้ เราได้เห็นสิ่งเหล่านั้นบ้างหรือไม่จากคนรวยๆ อย่างพวกเขา… หรือว่าแค่ “มีชีวิตที่ดี แต่ไม่มีความสุขสักที” รึเปล่า?
บอกตามตรง… นี่เป็นแค่คนดู ยังเหนื่อยแทนเลย
The Big Short เข้าฉาย 7 ม.ค. 2016 คะแนนตามความชอบส่วนตัว 8/10
61 comments