Tarzan ผ่านการสร้างเป็นภาพยนตร์มาหลายเวอร์ชั่นแล้ว เท่าที่เราเกิดทันและพอจำได้จะเป็น Tarzan เวอร์ชั่นการ์ตูน ดังนั้น The Legend of Tarzan (2016) ผลงานการกำกับของ David Yates (ผู้กำกับ Harry Potter ภาค 5-7 และ Fantastic Beasts and Where to Find Them ที่กำลังเข้าฉายปลายปี) จึงถือเป็น Tarzan ฉบับมนุษย์แสดงเวอร์ชั่นแรกที่เราได้ดูบนจอยักษ์ (แถมเป็นจอ IMAX 3D ซะด้วย)
เรื่องย่อ The Legend of Tarzan
ช่วงปลาย 1880s King Leopold II กษัตริย์เบลเยี่ยมครอบครองประเทศคองโกซึ่งเต็มไปด้วยงาช้าง เพชรพลอย และสินแร่ แต่ต่อมา King Leopold II เป็นหนี้ ส่งให้ลูกน้องอย่าง Leon Rom (Christoph Waltz จาก Big Eyes, Django Unchained, Inglourious Basterds, Spectre ฯลฯ) ไปจัดการหนี้สินและจับคนแอฟริกันท้องถิ่นมาเป็นทาสสำหรับก่อสร้างทางรถไฟขนส่งของเถื่อนในป่าคองโก
เพื่อแลกกับเพชรมูลค่ามหาศาลจากหัวหน้าเผ่า Mbonga (Djimon Hounsou) Rom ต้องจับตัว Tarzan (Alexander Skarsgård จาก Battleship และ Melancholia) ซึ่งตอนนี้ออกจากป่าไปเป็นผู้ดีอังกฤษ John Clayton III หรือ Lord Greystoke กับภรรยาสาวสวย Jane (Margot Robbie จาก The Wolf of Wall Street และ About Time)
John Clayton ถูก convince ให้กลับบ้านเกิดโดย Dr. George Washington Williams (Samuel L. Jackson จาก The Hateful Eight, Kingsman: The Secret Service, Avengers ฯลฯ) อดีตทหารผ่านศึก Civil War ที่ต้องการเข้าไปหาหลักฐานเอาผิด King Leopold II
รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ The Legend of Tarzan
เราจำไม่ได้ว่าทาร์ซานเวอร์ชั่นเก่าก่อนทั้งหลายเป็นยังไง แต่ถ้าระลึกชาติจากโปสเตอร์ก็พอจะเข้าใจได้ว่าเวอร์ชั่นก่อน ๆ น่าจะเน้นเล่าการผจญภัยและชีวิตความเป็นอยู่ของเจ้าหนุ่มทาร์ซานท่ามกลางสัตว์ป่าน่ารักน่ากลัวนานาพันธุ์ในป่าใหญ่
แต่ทาร์ซานเวอร์ชั่น 2016 หรือ The Legend of Tarzan นี้ เป็นเรื่องราวหลังจากที่ Tarzan ออกจากป่ากลับมาเป็น John Clayton III หรือ Lord Greystoke ใช้ชีวิตเยี่ยงผู้ดีอังกฤษอยู่ในปราสาทที่อังกฤษ มียศถาบรรดาศักดิ์ตามสายเลือดชาติกำเนิดของเขา ส่วน Jane ก็เป็น Lady Jane Clayton ใช้ชีวิตเป็นคุณนายหรูหรา อยากมีลูกแต่ไม่มีลูก ใช้เวลาว่างไปกับการเล่นกับเด็ก ๆ ลูกท่านหลานเธอ ผสมพันธุ์มะพร้าว และตีปิงปอง
แน่นอนว่า ชีวิตลอร์ดแอนด์เลดี้อาจจะน่าเบื่อเกินไปสำหรับทาร์ซานแอนด์เจนซึ่งเติบโตมาในป่าแอฟริกา เขาจึงส่งทั้งสองกลับไปผจญภัยครั้งใหม่ในป่าบ้านเกิดอีกครั้ง โดยมีแฟลชแบ็คกลับไปเล่าเรื่องราวในอดีตตั้งแต่ทาร์ซานยังเป็นทารกแบเบาะครั้งที่แม่ลิงเก็บเขามาเลี้ยง ทาร์ซานเจอเจนแบบ love at first sight จนถึงตอนที่แม่ของเขา (หมายถึงที่เป็นลิงกอริลล่า) ล้มหายตายจากไป แต่ก็ไม่ได้เล่าไปถึงว่าทาร์ซานกลับไปเป็นลอร์ดมนุษย์ในอังกฤษได้อย่างไร
ต้องบอกตามตรงว่า การเล่าเรื่องและการดำเนินเรื่องของ The Legend of Tarzan แอบเชยและน่าเบื่อ เรื่องก็เหมือนเล่นวิ่งไล่จับ เจนถูกจับไปไหน ทาร์ซานก็วิ่ง ๆ โหน ๆ ตามไปช่วยเป็นระลอก ๆ โดยมีลุง Samuel L. Jackson คอยวิ่งตาม ขโมยซีน และสร้างสีสันให้กับเรื่อง ซึ่งจริง ๆ บท Dr. George Washington Williams นี่ก็แอบจำเป็นบ้างไม่จำเป็นบ้าง ขาด ๆ เกิน ๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่าถ้าไม่ใช่ Samuel L. Jackson ความบันเทิงของหนังก็หายไปกว่าครึ่ง
โทนหนังพยายามดาร์คหรือเป็นฮีโร่มีปมแบบฮีโร่ DC แต่ดียังที่ตรงฉากบู๊แอ็คชั่นและฉากห้อยโหนโจนทะยานมันมันสุดสวิงริงโก้ในระดับที่ไม่เสียชาติมาจากคนสร้างคนเดียวกับ Harry Potter (เห็นรถไฟออกมาทีไร ก็อดนึกถึงรถไฟไป Hogwarts ใน Harry Potter ไม่ได้) แล้วทาร์ซานพลังช้างสารผิดมนุษย์มาก ไม่รู้ไปฟิตมาจากไหน พลังนี่นึกว่ากัปตันอเมริกามาเอง
แต่ในขณะเดียวกัน ก็น่าเสียดายที่ซีนอลัง ๆ เหล่านั้นส่วนใหญ่ เช่น ซีนทาร์ซานปะทะกอริลล่า ซีนทาร์ซานกับลิงท่ามกลางเผ่าไวท์วอล์คเกอร์ ล้วนเห็นในเทรลเลอร์เกือบแล้วสิ้น และอีกอย่างที่น่าเสียดายคือ หน้าหนังดูเป็นแนวผจญภัยหนักหน่วง แต่เอาเข้าจริงฟีลโรแมนติกน้ำเน่ามาเยอะกว่าที่คิดมาก เออ ง่วง
เหตุผลเดียวที่จะดู IMAX 3D คือหนังภาพสวยยิ่งใหญ่เวอร์วังอลังการงานขาย CGI ป่าทั้งป่า สัตว์ทุกตัว เขาใช้งานคอมฯ เนรมิตหมดเลย แต่สมจริงและดูมีชีวิตจริง เรียกว่าเป็นหนังฟอร์มยักษ์อีกเรื่องที่เข้าไปดูภาพสวย ๆ และซาวนด์เจ๋ง ๆ ใน IMAX 3D แล้วคุ้ม (แต่ยังเทียบเท่า The Jungle Book เวอร์ชั่นล่าสุดที่เพิ่งดูไปไม่ได้นะ) ถ้าไม่ดู IMAX 3D ก็อาจเบื่อง่าย เพราะอย่างที่บอก เรื่องมันน่าเบื่อ
นี่ยังไม่นับการได้เห็นซิกแพ็กของทาร์ซานบนจอยักษ์นั่นอีก การันตีเลย Alexander Skarsgård หรือทาร์ซานเวอร์ชั่นนี้ตอนใส่เสื้อก็งั้น ๆ นะ แต่พอถอดเสื้อปุ๊บหุ่นแซ่บเวอร์ (นี่แอบสงสัย ที่ป่าคองโกเขามีโปรตีนเวย์กินตั้งแต่ยุค 1880s แล้วหรืออย่างไร หรือซิกแพ็กก็ CG เอาได้?)
แต่ในส่วนของการแสดงของเขานี่ไม่โดดเด่นนะ ไร้เสน่ห์ คือก็เข้าใจว่าบทต้องแววตาเจ็บปวดตลอดเวลา แต่มันจำเป็นต้องดูปวดขี้ตลอดเวลาด้วยหรอ นั่นจึงทำให้บ่อยครั้งความน่าสนใจของหนังตกไปอยู่ที่นางเอกของ Margot Robbie แทน
Jane เวอร์ชั่นอื่นเป็นยังไงไม่รู้ แต่ Jane เวอร์ชั่นนี้มีความกร้านโลก มีความสตรอง มีความสวย แต่เนื่องจากเป็นเมีย celebrity อย่าง Tarzan นางก็เลยมีความเป็นตัวปัญหาเหมือน Mary Jane Watson (Kirsten Dunst) ใน Spider-Man ที่ต้องถูกคนร้ายลักพาตัวไปนู่นนี่นั่น แล้วให้พระเอกคอยวิ่งตามมาช่วยไม่รู้จบ โดยที่นางแทบทำอะไรไม่ได้เลย
พอหนังเน้นไปที่ “Rescue Jane” และเน้นโชว์ CGI จนเกินพอดี (คือโชว์ซีจีสัตว์เยอะมาก บางตัวก็ไม่รู้มาทำไม ดูไม่จำเป็นต่อเส้นเรื่อง แต่ก็พยายามให้อภัยได้เพราะสัตว์มันน่ารักน่าเอ็นดู) วัตถุดิบจาก original screenplay ที่ควรจะเป็นประโยชน์ต่อประเด็น Racism หรือ Black Lives Matter ก็เลยดร็อปลงไปจนแทบไม่เหลืออะไรอย่างน่าเสียดาย
เราเข้าใจว่าหนังเขาก็พยายามจะแฝงแง่คิดในเรื่องการอยู่ร่วมกันและยอมรับความแตกต่างหลากหลายของแต่ละชนเผ่าหรือสปีชีส์นะ เขาถึงพยายามเสนอภาพคนผิวขาวอย่างทาร์ซานไปนั่งร้องเล่นอยู่ท่ามกลางชนเผ่าคนผิวสี มีการนำเสนอว่าพ่อของ Jane เคยเป็นมิชชันนารีมาสอนศาสนาและสอนภาษาอังกฤษให้คนในคองโก หรือการสอนให้เห็น custom ของสัตว์แต่ละชนิด ซึ่งต่างก็มี custom เกี่ยวกับการทักทายหรือการแสดงความเคารพเช่นเดียวกับ human culture
ภาพแบคกราวนด์ของเมืองในอังกฤษกับป่าคองโก หรือการร่วมโต๊ะอาหารของ Leon Rom กับ Jane Clayton บนเรือ ก็เป็นภาพสะท้อนอย่างหนึ่ง มนุษย์เรามองว่าสัตว์ป่าน่ากลัวและไร้อารยธรรม เราเอาแต่กลัวว่ามันจะทำร้ายเข่นฆ่าเพราะมันไม่เหมือนเรา แต่ถ้ามองดูดี ๆ จะเห็นว่า เขาก็อยู่ของเขาดี ๆ และก็มี custom ของเขาที่เราไม่เคยพยายามทำความเข้าใจและปรับตัวเข้าหาเขา ตรงกันข้าม เราจ้องแต่จะทำลายเขาและเอาผลประโยชน์จากร่างกายและผืนป่าของเขา
บางที Human Nature มันก็คงไม่ต่างอะไรกับ Nature ของสัตว์เหล่านั้น…
ป.ล. หลังจากที่โก๊ะแตกไปตอนที่ดู The Jungle Book ตอนนี้เก๊ตแล้วว่า… เมาคลีเดินสองขา ทาร์ซานเดินสี่ขา เมาคลีลูกหมาป่า ส่วนทาร์ซานเป็นลูกกอริลล่า จบ.
The Legend of Tarzan (2016) เข้าฉาย 30 มิ.ย. 2016 นี้
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 6/10
37 comments