บางคนพอได้ดูเทรลเลอร์ The Martian แล้วอาจกังขาว่านี่คือหนังภาคต่อของ Interstellar รึเปล่า เพราะเห็นมีทั้ง Matt Damon และ Jessica Chastain มาครบองค์ แถมยังเป็นหนังอวกาศเหมือนกันอีก
แต่ย้ำชัดๆ ตรงนี้เลยว่า The Martian (ของคุณปู่ Ridley Scott) ไม่ใช่ Interstellar 2 (ของคุณพี่ Christopher Nolan) และทั้งสองเรื่องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันแต่ใดๆ นอกจากใช้นักแสดงนำคนเดียวกันสองคนเท่านั้น
อย่างไรก็ดี The Martian เป็นหนัง sci-fi อวกาศที่สร้างจากนิยายสุดฮิตชื่อเดียวกัน “The Martian” ซึ่งเป็นผลงานเขียนชิ้นแรกในชีวิตของ Andy Weir วิศวกรซอฟต์แวร์ผู้คลั่งไคล้อวกาศและฟิสิกส์สัมพัทธภาพมาแทบทั้งชีวิต
ซึ่งขอบอกเลยว่า แฟนๆ หนังแนว sci-fi อวกาศ ห้ามพลาด The Martian โดยเด็ดขาด เพราะนี่เป็นผลงานกำกับเรื่องล่าสุดที่ผู้กำกับฯ ในตำนาน Ridley Scott (จาก Alien, Blade Runner, Gladiator, Prometheus, Exodus ฯลฯ) ตั้งใจสร้างขึ้นมาเพื่อตืนฟอร์มและทวงบัลลังก์เจ้าพ่อหนังไซไฟกันเลยทีเดียว (หลังจากหลังๆ ถูกแซะหนักว่า ฝีมือปู่ดร็อปลงไปอยู่ช่วงหนึ่ง)
เรื่องย่อ The Martian : กู้ตาย 140 ล้านไมล์
ขณะที่ทีม Ares กำลังปฏิบัติภารกิจสำรวจดาวอังคารอยู่นั้น จู่ๆ ก็เกิดพายุถล่มอย่างรุนแรงกะทันหัน ผู้การ Melissa Lewis (Jessica Chastain จาก The Help, Zero Dark Thirty, Interstellar) จึงสั่งลูกทีมทั้งหมดถอยทัพกลับยานและยกเลิกภารกิจบินกลับทันที
หนึ่งในลูกทีม Mark Watney (Matt Damon จาก Good Will Hunting, Saving Private Ryan, Interstellar) ถูกของแข็งกระแทกซัดหายไปกับพายุ และถูกทิ้งไว้เช่นนั้นเพราะเพื่อนๆ คิดว่าเขาไม่รอดเสียแล้ว แต่ปรากฏ Mark Watney รอดตายอย่างปาฏิหาริย์ เขาพยายามติดต่อกับ NASA และหาวิธีจัดการเรื่องน้ำและอาหารให้เพียงพอต่อการดำรงชีพจนกว่าพวกเขาจะมาช่วย (ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อยกว่า 4 ปี!)
ทันทีที่ Mindy Park (Mackenzie Davis จาก What If) ได้รับสารจาก Mark เธอก็รีบแจ้งเบื้องบนทันที Teddy Sanders (Jeff Daniels จาก Looper) ผู้อำนวยการใหญ่ NASA กับ Vincent Kapoor (Chiwetel Ejiofor จาก 12 Years a Slave) หัวหน้าโครงการสำรวจดาวอังคาร จึงได้พยายามคิดหาทางช่วยเหลือ
โดยพวกเขาได้ระดมลูกน้องหรือสมัครพรรคพวกระดับหัวกะทิมาช่วยกันวางแผน rescue กันถ้วนหน้า ได้แก่ หัวหน้า PR ของNASA Annie Montrose (Kristen Wiig จาก The Secret Life of Walter Mitty), Mitch Henderson (Sean Bean จาก The Lord of the Rings), Bruce Ng (Benedict Wong จาก Moon, Prometheus) ฯลฯ
พอคำนวณนี่นั่นและเตรียมการกันเสร็จแล้ว ก็ให้ผู้การ Melissa Lewis กับลูกทีม Ares เจ้าเก่า ได้แก่ Rick Martinez (Michael Peña จาก Ant-Man, Fury), Alex Vogel (Aksel Hennie จาก Hercules), Beth Johanssen (Kate Mara จาก Fantastic Four), และ Chris Beck (Sebastian Stan จาก Captain America) ตัดสินใจกันว่าจะกลับไปช่วย Mark Watney หรือไม่ อย่างไร
รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ The Martian : กู้ตาย 140 ล้านไมล์
บางคนอาจรู้สึกเอียนหรือเบื่อแล้วกับหนังไซไฟอวกาศ เพราะช่วงนี้มีมาให้ดูถี่…ปีละเรื่อง ตั้งแต่ Gravity (2013), Interstellar (2014), และปีนี้ 2015 ก็มี The Martian ตามมาติดๆ อีกเรื่อง แต่บอกได้เลยว่า The Martian ไม่ซ้ำกับ Gravity หรือ Interstellar อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นในด้านของเนื้อหาหรือรสชาติของตัวหนัง
Andy Weir วิศวกรซอฟต์แวร์ที่เป็นคนแต่งหนังสือเรื่องนี้เขาเก่งมากเลยนะ ศึกษาค้นคว้าเองทุกอย่าง ไม่ใช่นักดาราศาสตร์หรือทำงานตรงสายโดยตรง และนี่ก็เป็นผลงานเขียนชิ้นแรกในชีวิตของเขา แต่เขาก็เขียนนิยายไซไฟอวกาศออกมาได้ข้อมูลเป๊ะมาก แถมยังสนุกดีมีอารมณ์ขันอีกด้วย บทอาจจะไม่ได้เว่อร์วังเท่า Christopher Nolan แต่ก็ยังชวนทึ่งไปกับทุกๆ ความฉลาดของตัวละครในเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ ที่สำคัญ ความบันเทิงไม่ด้อยไปกว่าของ Nolan เลยนะจะบอกให้
The Martian คล้ายกับ Gravity อยู่แค่สิ่งเดียวคือ เป็นเรื่องของนักบินอวกาศคนหนึ่งพยายามเอาตัวรอดบนดินแดนไกลโพ้นอย่างเดียวดาย แต่นอกนั้นก็คนละเรื่องกันละ กล่าวคือ Matt Damon จะไม่เงียบเหงาว้าเหว่ แพนิค หรือดราม่าคิดถึงบ้านเอาเป็นเอาตายแบบเจ๊ Sandra Bullock
ตรงกันข้าม Matt Damon ในบท Mark Watney ดูเหมือนไม่เครียดหรือกลัวตายเลยสักนิด (ถึงแม้ลึกๆ ก็คงกลัวและเครียดนั่นแหละ ตามธรรมชาติ) คือ Mark จะไม่ใช่แค่ฉลาดหัวไว แต่ยังเป็นผู้ชายคิดบวก กวนตีน และมีอารมณ์ขันตลอดเวลาแม้ในยามวิกฤตคับขัน (จะว่าไป ก็แอบคล้ายกับบทของป๋า George Clooney ใน Gravity) ซึ่งคาแรกเตอร์แบบนี้แหละ… ที่ทำให้เรา และใครอีกหลายคน ต้องตกหลุมรัก Mark Watney อย่างที่เราหลงรัก
ใน Gravity เราอาจจะเห็นนางเอกโซโล่เดี่ยวแทบทั้งเรื่อง จะรอดไม่รอดมีแต่ความสามารถในการ “ดึงสติ” ของนางเองนั่นแหละ แต่พระเอก The Martian คนนี้ never walk alone จ้ะ นางไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในเรื่อง หนังจะสลับตัดภาพไปมาระหว่างฝั่งดาวอังคารกับฝั่งโลกทั้งเรื่อง (แล้วตัดได้บันเทิงมากๆ ค่ะ)
The Martian ไม่ได้เน้นดราม่าความโดดเดี่ยวเดียวดายหรือผจญภัยเดนตายเสียวสันหลังอย่างเรื่องที่เราเคยดูมา ใน Gravity, Castaway, I am Legend, Life of Pi ฯลฯ ความพิเศษของหนังไซไฟอวกาศเรื่องนี้คือเขาเน้นใช้ “สมอง” ควบคู่ไปกับ “ความหวังหรือศรัทธา” โดย Mark Watney พระเอกของเรื่องเขาจะมาแสดงให้เราเห็นว่า “ความรู้ท่วมหัวเอาตัวรอดได้” จริงๆ นะ
ใน The Martian นี่มีแต่คนฉลาดทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Earthian หรือ Martian (ก็ NASA อะเนาะ) จนคนนอกอย่างเรารู้สึกตัวเองโง่ดักดานเสียเหลือเกิน ประมาณว่า นี่ถ้ากูเป็น Mark กูคงตายบนดาวนั้นตั้งแต่วันแรก หรือถ้ากูเป็นเพื่อน Mark ก็คงช่วยอะไรไม่ได้ นอกจากจะไปบนบานศาลกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุณพระคุณเจ้าตามสูตรภูมิปัญญาชาวบ้าน
โดยภารกิจหลักของหนังเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เพื่อเน้นหนีโลกร้อน ช่วยกู้โลก หรือช่วยมวลมนุษยชาติอย่างใน Interstellar แต่ภารกิจใน The Martian เราจะใช้หัวกะทิทั้งโลก ตั้งแต่วิศวกร นักวิทยาศาสตร์ ประชาสัมพันธ์ หัวหน้าโครงการ และบอร์ดบริหาร มาช่วยกู้ตายนักบินอวกาศติดเกาะเพียงแค่คนเดียว และพาเขากลับมายังโลกอย่างสวัสดิภาพปลอดภัย
(แต่เอาจริงๆ ปะ บางทีเราก็คิดว่า ถ้าเราสามารถจัดการเรื่องอากาศ น้ำ และอาหารบนดาวนั้นได้จริงๆ นะ ดาวอังคารน่าอยู่กว่าโลกเรา ณ ตอนนี้เสียอีก)
สิ่งสำคัญที่น่าประทับใจคือ The Martian คือการสอนให้เราเห็นว่า การที่เราจะทำการใหญ่ใดใดให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีภายในเดดไลน์นั้น เราจะต้องร่วมด้วยช่วยกันหลายแรงแข็งขัน จะใช้ความรู้ความสามารถแค่แขนงใดแขนงหนึ่งไม่ได้ จะใช้บุคลากรจากแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ หรือจะใช้มนุษยชาติเพียงแค่เพศใดเพศหนึ่ง หรือชาติใดชาติหนึ่งก็ไม่ได้
ในขณะเดียวกัน คนที่รอความช่วยเหลืออย่าง Mark Watney ก็ไม่ได้งอมืองอตีน หรือใช้ชีวิตรอความตายไปวันๆ อย่างสิ้นหวัง ซึ่งมันจริงมากๆ เป้าหมายใดๆ จะสำเร็จลุล่วงได้ หรือเอาตัวรอดได้ ทั้งคนให้และคนรับต้องร่วมไม้ร่วมมือกันทั้งสองฝ่ายอย่างบาลานซ์
ทั้งนี้ต้องขอบคุณเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสาร ทั้งระบบโบราณและระบบโมเดิร์น ที่เป็นอีกหนึ่งในกุญแจสำคัญของเรื่อง และช่วยตอกย้ำให้เราเห็นความสำคัญของระยะทาง การติดต่อสื่อสาร และคุณค่าของการรอระหว่างการรับส่งสารมากขึ้น
ในส่วนของการแสดง ถือว่า Matt Damon เอาอยู่ตลอดเรื่อง ตัวละครอื่นๆ ทั้งหลักทั้งรองก็ทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองได้ดี เวลาเล่นมุกก็มีการรับส่งกันมีจังหวะจะโคน (นี่มัน NASA หรือตลกคาเฟ่?)
นักแสดงหลักอีกคนที่เราชอบคือ Jessica Chastain เธอมีคาแรกเตอร์สวยสมาร์ทเหมาะสมกับบท commander จริงๆ และไม่ว่าจะบทบู๊ บทบุ๋น หรือบทซึ้ง เธอก็ทำได้ดีหมด เราชอบท่าตอนเธอเดินเหินอยู่ในสภาพไร้น้ำหนักมาก เป๊ะมาก ฮอตมาก ประทับใจ
เช่นเดียวกับผลงานเรื่องอื่นๆ ของผู้กำกับ Ridley Scott ดาวอังคารและอวกาศของ The Martian นั้นถูกเนรมิตรังสรรค์ได้แกรนด์มากๆ อลังการงานสร้าง สวยงามดูดี ดูแพงและดูสมจริง จวบจนตอนนี้…ทั้งๆ ที่ดูหนังมันมาเป็นอาทิตย์แล้ว…เรายังตราตรึงกับฉากไคลแมกซ์ของหนังอยู่เลย สวยงามจริงๆ
ปกติดาวเคราะห์ Mars ใน perception ของเราจะเป็นสีแดง เพราะ iron oxide ทำให้พื้นผิวของมันดูแดงๆ จนถูกตั้งสมญาว่า “Red Planet” แต่เราก็ชอบที่หนังเขาเล่นเป็นธีมโทนสีส้มอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งดาวอังคารและชุดอวกาศ ดาวสีแบบนี้ก็สวยดีไปอีกแบบ
ตอนไปดูรอบสื่อ เขาฉายที่โรงสยามพาวาลัย แต่เราแอบคิดว่า ถ้าหนังฉายจริงเมื่อไหร่ กะจะควักตังค์ไปดูเองอีกสักรอบในระบบ 3D คืออยากดู The Martian ในแบบที่เป็นสามมิติ เพราะขนาดดูในโรงฉายธรรมดา ยังรู้สึกว่าภาพสวยงามขนาดนี้ อยากไปดูจริงๆ ว่าถ้าเป็นภาพแบบสามมิติ จะสวยงามและชวนอินขนาดไหน
แล้วนอกจากงาน Visual ที่โดดเด่นล้ำเลิศแล้ว Sound ก็ดีงามไม่แพ้กัน คนทำหนัง The Martian มีรสนิยมในการเลือกเพลงประกอบดีเลยทีเดียว เพลงเพราะแทบทุกเพลงที่เปิดในเรื่อง แต่ละเพลงก็ทำให้เราดูหนังได้เพลินขึ้น ไม่รู้สึกรำคาญหรือรู้สึกเสียอรรถรสแต่อย่างใด คิดว่าใครที่เป็นแฟนเพลงยุค ’70-’80 น่าจะชอบยิ่งๆ ขึ้นไป
โดยสรุป เราเชียร์ The Martian สุดใจ บอกตรงๆ เราชอบเรื่องนี้มากกว่า Interstellar กับ Gravity เสียอีก เพราะ The Martian เป็นหนังไซไฟอวกาศที่สนุกครบรสจริงๆ ตอบโจทย์ทั้งสาระและความบันเทิง
เนื้อเรื่องไม่มีอะไรมาก เน้นขายความฉลาดและความอารมณ์ขันทุกสถานการณ์ของตัวละคร หนังเล่าเรื่องสนุก บันเทิงดีมีสาระ ดูแล้วเด็กสายศิลป์อย่างเรารู้สึกรักวิทยาศาสตร์ขึ้นมาทันที ความรู้ทุกศาสตร์ทุกแขนงมีความสำคัญกับทุกสถานการณ์วิกฤต และขอย้ำอีกทีชัดๆ ว่า งานเขาดีจริง Visual ล้ำสุด เราชอบภาพและเพลงมาก เขามีรสนิยมจริงๆ นะ
The Martian คะแนนตามความชอบส่วนตัว 9/10 คุ้มค่าทุกนาทีแน่นอน เชียร์ให้ไปดูได้เลย ปู่ Ridley Scott คืนฟอร์มแล้ว เย้~
[usr 4.5]
“The Martian, thankfully, has brought Ridley Scott home.”
หนังเข้าฉายจริง 1 ต.ค. 2015 นี้ ทุกโรงภาพยนตร์
ถ้าเป็นไปได้ แนะนำจัดระบบ 3D ไปเลย เรื่องนี้ภาพสวยจริงอะไรจริง
23 comments