“You can save your friends or you can save us all…”
เราดูหนัง The Maze Runner ภาคแรกเมื่อประมาณปี 2014 แล้วปรากฏว่าชอบมาก ถึงกับไปซื้อหนังสือนิยายดิสโทเปีย YA ไตรภาคของนักเขียน James Dashner มาอ่าน ซึ่งในหนังสือภาคแรกนี้ก็สนุกไม่แพ้กัน อินถึงขนาดเขียนบล็อกเกี่ยวกับเรื่องนี้มากกว่า 1 บล็อก (ลองไปหาอ่านย้อนหลังได้หากสนใจ)
เมื่อกระแสภาคแรกดี ในปีต่อมา The Scorch Trials (หรือ The Maze Runner 2) ก็วิ่งตามมาแทบจะติด ๆ กับภาคแรก ถึงแม้หนังจะยาวและแตกต่างจากหนังสือไปโข แต่โดยรวมแล้ว เราคิดว่าหนังเค้าโอเคกว่าในหนังสือ (โดยส่วนตัวคิดว่าหนังสือภาคสองน่าเบื่อ) และเราก็เขียนบล็อกถึงหนังภาคนี้ได้ยาวเป็นกิโลฯ เกี่ยวกับการเติบโตสู่โลกอันกว้างใหญ่และโหดร้ายของเด็ก ๆ ในเรื่อง
ภาคจบของไตรภาคใช้ชื่อว่า The Death Cure เป็นตอนเดียวจบ ไม่แยกเป็น part 3.1 – 3.2 แบบหนังขายดีที่สร้างจากนิยายมากภาคบางเรื่อง สำหรับภาคนี้เรายังไม่ได้อ่านหนังสือ (อย่างที่บอก ตอนอ่านภาคสอง รู้สึกเบื่อ เลยยังไม่มีอารมณ์จะหยิบภาคสุดท้ายมาอ่านต่อ) เรื่องราวในหนังภาคนี้เป็นเรื่องราว 6 เดือนต่อมาจากภาคที่แล้ว (ถึงแม้ตัวหนังจะปล่อยห่างกันสองปีกว่า เพราะพระเอกของเราบาดเจ็บหนักจากการถ่ายทำและต้องพักฟื้นนานกว่าจะมาถ่ายทำต่อได้)
เรื่องราวของ The Maze Runner: The Death Cure โดยย่อคือ Thomas (Dylan O’Brien จาก Teen Wolf), Newt (Thomas Brodie-Sangster จาก Game of Thrones), Frypan (Dexter Darden), Brenda (Rosa Salazar จาก Alita: Battle Angel), Jorge (Giancarlo Esposito) และ Vince (Barry Pepper จาก Saving Private Ryan) ไปช่วยเด็ก ๆ รวมถึงเพื่อนรักอย่าง Minho (Ki Hong Lee) จากการเป็นหนูทดลองขององค์กร WCKD ภายใต้การนำของ Ava Paige (Patricia Clarkson จาก Shutter Island) และ Janson (Aidan Gillen จาก Game of Thrones) ซึ่งตอนนี้ก็รวมถึง Teresa (Kaya Scodelario จาก Pirates of the Caribbean: Dead Men Tell No Tales) กิ๊กของ Thomas ที่แฟน ๆ คงจำนางได้ไม่ลืมที่นางหักหลังเพื่อน ๆ ไว้ช่วงท้ายของภาคที่แล้ว
ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องบอกก่อนด้วยว่า ถ้าจะไปดูหนังภาคนี้ ควรดูภาคแรกและภาคสองมาก่อน เพื่อความเข้าใจในบริบท สตอรี่ที่มาที่ไป และเพิ่มความผูกพันของเรากับตัวละครในเรื่อง (เปิดเรื่องมา หนังก็เริ่มไล่ล่าเลย แทบไม่เท้าความ หรือไม่แนะนำใครซ้ำอีกใดใดทั้งสิ้น) แถมมีตัวละครเก่าอย่าง Gally (Will Poulter จาก The Chronicles of Narnia) โผล่มาด้วย ใครไม่เคยดูภาคแรกมาก่อน มีงงแน่นอน
เข้าใจว่าหนังพยายามเก็บรายละเอียดสำคัญจากในหนังสือมาเอาใจแฟนหนังสือด้วย หนังก็เลยมีจุดไคลแมกซ์หรือจุดพีคบ่อยเสียเหลือเกิน ดูแล้วบางทีก็ไมเกรนจะขึ้น ลุ้นเหลือเกิน แอ็คชั่นมาบ่อย ตื่นเต้นแล้วตื่นเต้นอีก แต่บางทีนั่นก็เลยทำให้หนังมีความยาวเกินไปสักหน่อย (ภาคที่แล้วว่ายาวแล้ว ภาคนี้ยาวยิ่งกว่า ยาวถึง 2 ช.ม. 42 นาที ไม่มี end credit)
ด้วยความยาวขนาดนี้ ถ้าใครที่ไม่อินกับมันมาแต่แรก มาถึงจุดนี้ก็คงต้องมีแอบหาวบ้างแน่ ๆ ต้องทำใจล่วงหน้าและโด๊ปกาแฟมาเยอะ ๆ ถ้าคิดว่า ไหน ๆ ก็เคยดูมาแล้วทั้งสองภาค จะต้องมาดูภาคนี้ให้จบ ๆ
แต่ถ้าใครที่ชอบหนังแฟรนไชส์นี้อยู่แล้ว ก็ยิ่งควรมาดูให้จบ ๆ จะได้หายคาใจในหลาย ๆ อย่าง (แต่ก็ไม่ทั้งหมดซะทีเดียว เพราะหนังทอดทิ้งปูมหลังหรืออดีตของเด็ก ๆ แต่ละคนไปเลยอย่างน่าเสียดาย หนังโฟกัสแต่ปัจจุบันและอนาคต หายารักษาโลก และมิตรภาพในหมู่ชาย ฮือ) ที่สำคัญ ภาคนี้สนุกกว่าภาคที่แล้วเพราะอย่างที่บอก… แอ็คชั่นจัดเต็ม สเกลใหญ่ขึ้น เล่นใหญ่ไฟกะพริบ และโชว์เท่หนักมากทุกผู้… (ชาวทุ่งมาไกลมากจริง ๆ ใช้ปืนผาหน้าไม้เก่งเกิ๊น)
โดยส่วนตัว เราค่อนข้างผูกพันกับตัวละคร (โดยเฉพาะ Newt สุดหล่อ ที่ภาคนี้กลับมาซีนเยอะขึ้นกว่าภาคสองละ) เลยค่อนข้างอินและลุ้นเอาใจช่วยพวกเขาแทบตลอด ภาคนี้จึงไม่ออกมาน่าเบื่ออย่างที่กังวล แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ยังชอบความคลาสสิกของภาคแรกมากที่สุดอยู่ดี
คะแนนตามความชอบส่วนตัว ในภาคนี้ ขอให้มากกว่าภาคที่แล้วหน่อยนึง เพราะตอบโจทย์ความบันเทิงและตอบสนองใจติ่งพอสมควร สรุปก็คือ 8/10 รวมคะแนนพิศวาส (not bad…)
หนังเข้า 25 ม.ค. 2018 ในโรงภาพยนตร์
32 comments
Comments are closed.