เริ่มแรกอยากดู The Purge เพราะอ่านพล็อตแล้วรู้สึกน่าสนใจ แบบว่า แปลกดี น่าค้นหาดี ในหนึ่งปีมีหนึ่งคืน (12 hrs) ให้ล้างบาป จะฆ่าใครก็ได้ แล้วให้เหตุผลว่า ความสำคัญของวันนั้นคือ ทำให้อัตราว่างงานลดลง และอาชญากรรมน้อยมาก (เพราะรอมาฆ่ากันแบบ legally ในวันดังกล่าว)
แต่เป็นที่น่าเสียดาย ต้นทุนทางความคิดที่แปลกแหวกแนวนั้น กลับนำเสนอได้ไม่ดี และไม่มีอะไรให้คนดูค้นหาต่อยอดในโรงภาพยนตร์เลย เพราะทุกสิ่งที่น่าตื่นเต้นนั้น อยู่ใน trailer หมดแล้วเนี่ยสิ…
เนื่องจาก The Purge เป็นหนังทุนต่ำ (3 ล้านดอลลาร์) มีบ้าน 1 หลัง รถ 1 คัน หุ่นยนต์เด็กเล่น 1 ตัว จบ. และสงสัยว่าเป็นเพราะทุนต่ำอีกนั่นแหละ งบจัดแสงจึงคงมีจำกัด หนังก็จะมืดๆ จนช่วงแรกๆ ของหนัง น่าเบื่อ น่าง่วง มากกว่ารู้สึกกดดัน
ในด้านของบท คงต้องย้ำว่า The Purge เป็นหนังที่มีดีแต่ concept จริงๆ ซึ่งน่าเสียดาย อุตส่าห์มี idea ทั้งที แต่ทำออกมาได้ไม่สุด เรื่องราวเดาง่าย และไม่หวือหวา จุดที่เหมือนจะหักมุม ก็ไม่ได้หักแบบ OHO! อะไรเลย ปมประเด็นเรื่องของคนผิวสีที่หนีตายมาหลบอยู่ในบ้านของตัวเอกในคืนไถ่บาป นั้น แทบไม่ได้รับการคลี่คลายเลยว่า “เขาเป็นใคร และทำอะไรผิด ทำไมคนเป็นร้อยอยากจะฆ่าคนคนนี้”
ฉากฆ่าฟันที่เราคาดหวัง “ความอำมหิต” แบบเลือดสาด ก็ต้องบอกอีกว่า “น่าผิดหวัง” เพราะในด้านอารมณ์ก็ไม่น่ากลัว ไม่ตื่นเต้น ไม่ชวนลุ้น ไม่กดดัน ไม่บีบเค้นความรู้สึกแต่ใดๆ อย่างฉากการยิงกัน ก็ไม่มีความคลาสสิคใส่เข้าไปเลยแม้แต่น้อย มีซีนอารมณ์ที่พอรับได้ อย่างซีนที่แสดงถึงเส้นแบ่งระหว่างความเมตตากับความเห็นแก่ตัว ที่พอจะอินอยู่บ้าง แต่นั่นก็ต้องยกความดีความชอบให้ความสามารถทางการแสดงของนักแสดงเขา
นักแสดงไม่ได้ชั้นนำมากนัก ค่อนไปทางโนเนมด้วยซ้ำ มีก็แต่พระเอกอย่าง Ethan Hawke ที่เล่นหนังดีๆ มาหลายเรื่องหน่อย (ล่าสุดเล่นเป็นพ่อของพระเอกในเรื่อง Boyhood) กับนางเอกอย่าง Lena Headey ที่เล่นเป็น Queen Lannister ในซีรีส์ชื่อดัง Game of Thrones ซึ่งตัวหลักๆ พวกนี้ ต้องชื่นชมว่าพวกเขาเล่นได้ดีทีเดียว แล้วก็มีหัวหน้าตัวร้ายอีกคนนึง ที่น่าชื่นชม อาจเพราะหน้าเค้าดูโรคจิตจริงๆ อยู่แล้วเป็นทุนเดิมด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่เล่นดีๆ
ในส่วนของ messages ที่พยายามจะสื่อกับคนดู ถือว่าพยายามสื่อออกมาโอเคในระดับหนึ่ง เช่น วันไถ่บาปคือวันที่คนเราสามารถปลดปล่อยปีศาจในตัวออกมา การให้ตัวร้ายใส่หน้ากากเฟคยิ้ม ใส่ชุดนักเรียน ร.ร.หรู และชุดปาร์ตี้ไฮโซ มายิงราฆ่าฟันคนอื่นในคืนวันไถ่บาป แต่ก็ไม่ได้ทำออกมาสุดเท่าที่ควร (นี่กำลังพยายามคิดบวกกว่าเป็นเพราะเขาทุนน้อย ถ้าทุนเยอะ อาจจะทำแต่ละฉากออกมาได้ถึงกว่านี้)
หนังพยายามแฝงประเด็นครอบครัว การศึกษา สังคมคนชั้นกลาง และการหากินกับคนอื่น เช่น อย่างที่เห็นว่าคนรวยไม่เดือดเนื้อร้อนใจกับวันไถ่บาป เพราะสามารถใช้เงินซื้ออาวุธป้องกันตัวและระบบรักษาความปลอดภัยได้ (เช่น บ้านของตัวเอก ที่พระเอกเป็นเจ้าของบริษัทที่สร้างระบบรักษาความปลอดภัยขายคนในเมือง) คนรวยจึงสามารถหลบอยู่ในถ้ำอย่างสบายใจจนตะวันขึ้น บางคนอาจมีกำลังออกไปฆ่าคนที่ตนอยากล้างแค้น หรือบางคนก็อาจจะออกไปฆ่าคนเพียงเพื่อความสนุก! ในขณะที่คนจนทำอะไรไม่ได้ นอกจากจะรอตกเป็นเหยื่อและพยายาม survive ไปวันๆ เพียงอย่างเดียว
อย่างน้อย หนังก็อาจจะทำให้เราฉุกคิดและระวังคนใกล้ตัวมากขึ้น ทำให้เรานึกขึ้นได้ว่าคนรอบตัวล้วนแต่น่ากลัว และมี dark sides ที่เก็บกดไว้ลึกๆ
ไม่ว่าจะเป็นแฟนเราที่ซั่มกันทุกคืน
คนข้างบ้านที่เซย์ไฮกันอยู่ทุกวัน
คนที่การศึกษาสูงๆ
คนรวย ผู้ดี แต่งตัวโก้ๆ
หรือคนที่เหมือนจะยิ้มและหยิบยื่นขนมหวานให้เราอยู่เมื่อวาน…
ไม่ว่าจะคนไหนๆ เราก็ต้องระวัง อย่าไว้ใจกับสิ่งที่เราเห็นจนเต็มร้อย…
ข้ามช็อตมาที่ตอนจบของเรื่อง ฉากจบที่ควรจะพีค ก็จบได้งั้นๆ มาก เป็นเฉลยที่คาดเดาได้ ตามสูตรเดิมๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ เหมือนจบเอาง่าย เป็นหนังที่เนื้อเรื่องไม่มีฉากน่าจดจำ และฉากจบก็ไม่มีอะไรน่าประทับใจ อะไรมันจะดีไปกว่านี้!
อย่างไรก็ดี หนังมันก็พอให้แง่คิดอยู่บ้าง อย่างเราก็ชอบตอนจบนิดนึง ตรงที่เขาพยายามทิ้งประเด็นว่า
“หลังจากเหตุการณ์ในคืนล้างบาปนี้แล้ว ทุกคนที่รอดชีวิตจะดำรงชีวิตและเผชิญหน้ากันต่อไปยังไง”
จะดีจะร้ายยังไง หนังก็ทำกำไรไปกว่า 30 ล้านดอลลาร์ ทำให้ผู้สร้างตัดสินใจสร้างภาคต่อภายใต้ชื่อว่า “The Purge: Anarchy” พร้อมนักแสดงชุดใหม่ยกเซต หนังจะเข้าฉายในไทย 18 ก.ย. 2014 นี้ (ฉายจริง 25 ก.ย. 2014) มารอดูกันว่า จะทำได้ดีกว่าภาคแรกหรือไม่!?
93 comments
ดูๆไปมันก็คล้าย resident evil เหมือนกันนะ หนีซอมบี้ที่จะเข้ามาฆ่าเรา ภาคแรกอยู่ห้องแลบแคบๆ ภาคสองมาทั้งเมือง
ดูแล้วมันน่าหดหู่อะ เหมือนดูหนังคนโรคจิตเลย คนมาฆ่ากันเองแบบไม่มีเหตุผล