The Revenant เป็นหนังที่ใครๆ ก็ต้องจับตามองเป็นพิเศษ เพราะเข้าชิงตุ๊กตาทองออสการ์สูงที่สุดถึง 12 สาขา แถมล่าสุดก็เพิ่งได้รางวัลลูกโลกทองคำสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม และผู้กำกับยอดเยี่ยมมาอีกด้วย
read more: http://oscar.go.com/nominees และ http://www.goldenglobes.com/winners-nominees
เรื่องย่อ The Revenant
Based on a true story (1823)
Hugh Glass (Leonardo DiCaprio จาก Titanic, Inception, The Wolf of Wall Street) พรานผู้ชำนาญการของกลุ่มนักล่าขนสัตว์ถูกหมียักษ์โจมตีจนบาดเจ็บสาหัสสากรรจ์ปางตาย เนื่องจาก Glass เป็นภาระของกลุ่ม ผู้กอง Andrew Henry (Domhnall Gleeson จาก Harry Potter, About Time, Ex Machina, Star Wars: Episode VII – The Force Awakens) จึงตัดสินใจทิ้งเขาไว้กลางทาง
แต่ Hawk (Forrest Goodluck) ไม่ยอมทิ้งพ่อ ขออยู่กับพ่อจนวินาทีสุดท้าย ผู้กองจึงสั่งให้ John Fitzgerald (Tom Hardy จาก Mad Max: Fury Road, Inception, The Dark Knight Rises) กับ Jim Bridger (Will Poulter จาก The Chronicles of Narnia, The Maze Runner) อยู่เป็นเพื่อนด้วย
Hawk ถูกฆ่าตาย Fitzgerald กับ Bridger ก็หนีเอาชีวิตรอดจากการไล่ล่าของชนเผ่ารี ฝังร่าง Glass ทั้งเป็นไว้อย่างนั้น แต่ปรากฏ Glass รอดตายอย่างปาฏิหาริย์ และพยายามมีชีวิตรอดเพื่อตามไปล้างแค้นคนที่ฆ่าลูกชายของเขา!
Revenant = a person who has returned, especially supposedly from the dead
รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ The Revenant
หลังจาก Leonardo DiCaprio วืดออสการ์มาหลายครั้งหลายครา และมี meme ล้อเลียนความแห้วของเขามามากมาย (ทั้งจาก The Wolf of Wall Street, Blood Diamond, The Aviator, What’s Eating Gilbert Grape) ปีนี้คนเค้าว่ากันว่า The Revenant ของผู้กำกับออสการ์ Alejandro González Iñárritu (จาก Birdman) จะนำพาให้ลีโอฯ ไปถึงฝั่งฝันได้ในที่สุด
จากการที่เราได้รับเชิญจาก Major Cineplex ให้ไปพิสูจน์ความปังของ The Revenant และ Leonardo ในรอบสื่อมวลชน (26 ม.ค. 2016) เราขอพูดตรงๆ เลยว่า Leonardo เขาเจ๋งจริง แน่จริง และทุ่มสุดตัวจริงๆ
บทเหมือนถูกตั้งใจเขียนมาเพื่อให้ Leonardo โชว์พลังการแสดง ไม่ว่าจะฟัดกับหมีที่ตัวใหญ่เท่าบ้านจนแผลเหวอะหวะทั้งร่างกาย ว่ายน้ำข้ามแม่น้ำอันกว้างใหญ่ไพศาลท่ามกลางหิมะสีขาวโปรยปราย กินเนื้อสัตว์ดิบๆ เปลือยกายโชว์ก้นขาวๆ และคลานสี่เท้าเยี่ยงสัตว์เดียรัจฉานเป็นไมล์ๆ เพื่อเอาชีวิตรอด (และแน่นอน… เพื่อออสการ์!) ซึ่งถึงแม้หลายฉากคนดูจะรู้และเข้าใจว่าเขาใช้ CGI แต่ก็ยังยอมใจกับสปิริตอันแรงกล้าของพระเอกคนนี้อยู่ดี
จะว่าไปนักแสดงสมทบทุกคนก็เล่นดีนะ ไม่ว่าจะ Tom Hardy, Domhnall Gleeson, และ Will Poulter โดยเฉพาะคนหลังสุดนี่ ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ปกติเห็นเล่นแต่บทร้ายๆ และหน้าตาก็ดูเป็นคนน่าหมันไส้ แต่พอมาเป็นคนดีปุ๊บ มันก็ยังทำให้เราเชื่อได้อยู่นะว่ามันเป็นคนดีดี
แล้ว Tom Hardy เนี่ย ตามจริงเขาควรได้รับการเยินยอมากกว่านี้นะ บทเขาสำคัญนะ เป็นตัวแทนดาร์คไซด์ของมนุษย์ ดาร์คไซด์ของลีโอ แต่อะไรๆ มันแค่ไม่ส่งเขา ถึงแม้จะได้ชิงออสการ์สมทบชาย แต่ก็ไม่โดดเด่นอะไรเมื่อเทียบกับนักแสดงชายจากเรื่องอื่น
ก็อย่างว่าแหละ ต่อให้ทุกคนเล่นดีแค่ไหนก็คงไม่ได้เด่นโดดเด้งเข้าตากรรมการหรอก เพราะหนังเรื่องนี้เขาสร้างมาเพื่อ Leo ได้เกิดคนเดียว
แต่ถ้าถามความรู้สึกส่วนตัวเรา เราว่า Leonardo เขาก็แค่แสดงดีตามมาตรฐานของเขาและตามมาตรฐานหนังรางวัลทั่วไป ถ้าเอาจริงๆ เราว่าการแสดงของ Leonardo ในเรื่องนี้มันควรน่าจะสุดได้อีก
ฉากเครซี่ๆ ทั้งหลายข้างต้น เอาจริงๆ เราว่าใครๆ ก็ทำได้ Eddie Redmayne ก็เคยคลานหงิกๆ ง่อยๆ ขึ้นลงบันไดมาแล้วใน The Theory of Everything หรือตัว Leonardo เองก็เคยคลานขึ้นรถมาแล้วใน The Wolf of Wall Street
หนังส่งให้ Leonardo ได้เป็นทั้งพ่อที่เจ็บปวดจากการสูญเสียลูกชายคนเดียวและเป็นทั้งคนป่าดิบเถื่อนที่ต้องพยายามเอาตัวรอดท่ามกลางอุปสรรคมากมาย เอาจริงต้องดราม่าหนักมากนะ แต่สุดท้ายเรากลับรู้สึกว่าเขายังถ่ายทอดความเป็นพ่อได้ไม่สุดอยู่ดี (ทั้งนี้รวมถึงตอนที่นึกถึงเมียเก่าด้วย) เราว่า Michael Fassbender ใน Steve Jobs ยังเป็นพ่อได้อินกว่ามาก อันนั้นถึงกับร้องไห้ในโรงเลยด้วย
ถ้าว่ากันด้วยอินเนอร์ เราชอบอินเนอร์ของ Eddie Redmayne กับบทผู้หญิงข้ามเพศใน The Danish Girl มากกว่า อันนั้น Eddie เขาอินเนอร์แรงจริง ดูแล้วเชื่อสนิทใจจนแทบจะหลอมรวมเป็นตัวละครตัวเดียวกับเขา ณ ตอนนั้นเลย คือแอ็คติ้งของ Eddie เขาไม่ได้แสดงแค่ทางสีหน้าแววตา หากแต่ใช้ทุกส่วนในร่างกายรวมถึงจิตวิญญาณข้างในของเขาในการเป็นตัวละครตัวนั้นด้วย
เอาตรงๆ ก็คือ เราไม่รู้หรอกว่าใครจะได้นำชายยอดเยี่ยม แต่ถ้าให้เชียร์ เราอยู่ #TeamEddie (เออ ดูดีๆ ทั้งบท Hugh Glass, Steve Jobs, และ Lili ทั้ง 3 คน 3 เรื่อง มีตัวตนจริงและสร้างจากเรื่องจริงหมดเลยนี่หว่า)
ใครจะบอกว่าแอ็คติ้งของ Eddie Redmayne ใน The Danish Girl มันก็คล้ายๆ กับตอนเขาเป็น Stephen Hawking ใน The Theory of Everything ปีที่แล้วก็ตามแต่ เราว่าไม่คล้าย สำหรับเรา ตอนเขาเป็น Hawking เขาก็เป็น Hawking ตอนเขาเป็น Lili เขาก็เป็น Lili ปีที่แล้วเขาได้ออสการ์แล้ว เขาก็ได้อีกได้ อย่าง Emmanuel Lubezki ยังได้ออสการ์ถ่ายภาพสองปีซ้อนจาก Gravity และ Birdman เลย จริงมั้ย
ดีไม่ดี Emmanuel Lubezki เขาอาจจะได้ออสการ์ cinematographer ปีนี้อีกปีจากเรื่องนี้ กลายเป็นชนะสามปีซ้อนด้วยเลยก็ได้ด้วยซ้ำ เพราะงานภาพของ The Revenant นี่ก็ดีงามพระรามเก้า
ใครดูเรื่องราวไม่อิน มาดูภาพวิวสวยๆ นี่แหละคุ้มค่า หนังเขาภาพสวยมาก อาจจะเพราะโลเกชั่นพวกป่าเขาลำเนาไพรในแคนาดากับอาร์เจนตินาที่เขายกกองไปถ่ายมันสวยงามและยิ่งใหญ่ในตัวของมันเองอยู่แล้วด้วยแหละมั้ง ภาพมันออกมาอลังการงานสร้างจริงจัง ดังนั้น เราแนะนำให้ดูในโรง IMAX หรือโรงจอใหญ่ๆ จะได้สัมผัสธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่อย่างตื่นตาตื่นใจ
ถ้าได้ดูแล้ว อยากให้ดูเทคนิคการถ่ายทำ แล้วจะสัมผัสได้ว่าหนังมันไม่น่าจะถ่ายกันได้ง่ายๆ เลย สภาพอากาศที่ดูหนาวใช่หยอกนั่นก็เรื่องหนึ่ง แล้วยังมีถ่าย 360 องศาติ้วๆ มุมกล้องมีลูกเล่นแพรวพราวและเล่นท่ายากตลอดเวลามีแสงวิงค์ๆ จากพระอาทิตย์แบบ magic hours อย่างที่พวกตากล้องฮิปสเตอร์เขาชอบด้วยนะ เกร๋ๆ และไอ้ long take กับเสียงดนตรีอันเป็นกิมมิคจาก Birdman ก็ยังเอามาเล่นอยู่ด้วยนะเออ
อย่างไรก็ดี ถึงแม้เราจะชมโปรดักชั่นว่ามันดีเว่อร์วังขนาดไหน แต่เราว่า The Revenant ก็ยังมีความน่าเบื่อในเรื่องของตัวบทและการเล่าเรื่องอยู่ สงสัยจะไปโฟกัสที่เทคนิคกับ Leonardo มากเกินไป จนละเลยความสำคัญของตัวบทนั่นแหละ โดยเฉพาะ ประเด็นเรื่องครอบครัว การล้างแค้นเพื่อลูก หรือแบ็คกราวนด์ชีวิตนั้น ไม่พีคอย่างที่ควรจะเป็น(เออ มิน่าล่ะ หนังได้เข้าชิงแทบทุกสาขา ยกเว้นสาขาจำพวกบท)
จริงๆ ถ้าเขาไม่มัวแต่พยายามเอาสปอตไลท์ไปส่องให้ Leonardo ในซีนการดิ้นรนเอาตัวรอด บทอาจจะสตรองขึ้น อย่างประเด็น “พ่อลูก” ขยี้ได้อีกเยอะนะ เพราะจริงๆ ตัวละครหลายตัวในเรื่อง แม้แต่หมียักษ์ ก็ดูสู้เพื่อลูกเมียกันทั้งนั้น หรือ “ความป่าเถื่อนของมนุษย์กับสัตว์” ก็เล่นให้ชัดขึ้นได้นะ จริงๆ เราชอบนะที่เหมือนจะมีการเปรียบเปรยระหว่างการไล่ล่าและการพยายามเอาชีวิตรอดของคนกับของสัตว์ คือหนัง “เกือบ” ทำให้เรารู้สึกได้ละว่าธรรมชาติคนมันไม่ได้ต่างกับสัตว์เดียรัจฉานเลย หรือประเด็น sexist กับ racist ที่มีโผล่มานิดนึง (ลูกชายพระเอกเป็นลูกครึ่งชนเผ่าซัมติง) เราก็ชอบนะ ทันสมัยดี แต่มีจึ๋งเดียวเอง ง่อว์
เราเป็นคนให้ความสำคัญกับบทหนัง โดยเฉพาะหนังออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ดังนั้นเราก็คงไม่เชียร์ The Revenant อะ ถึงแม้จะผู้กำกับคนเดียวกับ Birdman ที่ได้ออสการ์สาขาดังกล่าวเมื่อปีก่อนหน้าก็ตามเถอะ คือเราว่า The Revenant ยังไม่ใช่และด้อยกว่า Birdman โดยส่วนตัวเราเชียร์ Spotlight ที่การแสดงก็ดีและตัวบทก็ดีเยี่ยมไร้ที่ติมากกว่า
โดยสรุป The Revenant รอดนะ ก็เลอค่าสมควรเข้าชิงหลายสาขาจริง ดูแล้วต้องขอกราบให้กับงานภาพ เสียง และเทคนิคต่างๆ ทั้งหลายแหล่ โปรดักชันดี หนังสวยมากกกก และคงธีมดิบเถื่อนแต่ต้นจนจบดี การแสดงของ Leonardo ก็ต้องยอมใจเขาเลยอะ คำว่า “ทะเยอทะยาน” คงเหมาะกับนางที่สุดละ ทุกอย่างมันชัดเจนอะว่านางกับผู้กำกับ “พยายาม” ไฟต์สุดชีวิต ยอมทำทุกอย่างและทุ่มหมดหน้าตักเพื่อออสการ์จริงๆ
แต่ที่แน่ๆ คงต้องลุ้นหนักหน่อย สำหรับสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Best Picture) เพราะเราว่าหนังมันยังบทอ่อนแอ ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน และเล่าเรื่องธรรมดาเกินไปเสียหน่อยสำหรับเวทีออสการ์…
The Revenant คะแนนตามความชอบส่วนตัว 8.5/10 เข้าฉายที่ไทย 4 ก.พ. 2016 แนะนำควรดูในโรง เพราะภาพมันต้องสเกลใหญ่ๆ และมันมีช่วงมืดๆ หลายซีน ถ้าดูแบบบิตเถื่อนๆ อาจจะไม่จรรโลงสายตาเท่าไหร่
ป.ล. ชอบตอน Hugh Glass (Leonardo DiCaprio) เกิดใหม่กลายเป็นหมีแล้ว ชอบแฟชั่นเสื้อขนหมีฟูฟ่องของนาง ดูแพงและอะล้าอลังเหมาะจะเอามาใส่เดินเฉิดฉายในพระนครช่วงเพลานี้มากค่ะ
42 comments