เราเห็นเทรลเลอร์ตัวเต็มของ Tomorrowland ครั้งแรกตอนต้นเรื่อง Avengers 2: Age of Ultron ตอนนั้นรู้สึก “โอ้! ว้าว!” มากๆ เพราะเป็นหนังดิสนีย์ มีตัวละครหญิงวัยรุ่นหน้าตาน่ารักเป็นตัวละครนำของเรื่อง มีความเป็นแอ็คชั่นไซไฟที่สร้างสรรค์ ตลก และมีของเล่นเหนือจินตนาการมากมาย คือมันตื่นตาตื่นใจไปซะหมด เราอยากดูมากๆ
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเทรลเลอร์ทำให้เราหวังสูงเกินไปหรือเพราะเราแก่เกินไปสำหรับหนังแนวนี้แล้วหรือเปล่า… บอกตามตรง หลังจากที่เราได้ดู Tomorrowland เต็มๆ จริงๆ จบแล้ว เรากลับรู้สึก “ผิดหวัง” แถมช่วงท้ายๆ ของเรื่อง เรายังแอบหาวอีกต่างหาก
เรื่องย่อ Tomorrowland
วันหนึ่ง Casey Newton (Britt Robertson จากซีรีส์ Under the Dome) วัยรุ่นสาวสวยที่ฉลาดเป็นกรด บังเอิญได้เข็มกลัดรูปตัว T มาจากไหนก็ไม่รู้ พอเธอแตะหรือสัมผัสมันปุ๊บ มันก็ทำให้เธอได้เห็น (หรือได้เข้าไปอยู่ใน) Tomorrowland ซึ่งเป็นโลกอนาคตในฝันของ Casey เลยทีเดียว แต่ในขณะเดียวกัน การครอบครองเข็มกลัดอันนั้น ก็ทำให้เธอถูกทหารโรบอตของ David Nix (Hugh Laurie) ผู้เป็นใหญ่แห่ง Tomorrowland ตามล่า!
โรบอตเด็กจากโลกอนาคต Athena (Raffey Cassidy) ซึ่งเป็นคนแอบเอาเข็มกลัดไปให้ Casey มาช่วยพา Casey หลบหนีจากคนของ Nix และพา Casey ไปหานักประดิษฐ์โคตรอัจฉริยะ Frank Walker (George Clooney จาก Up in the Air และ Gravity) เพื่อขอร้องให้เขาพาพวกเธอกลับไปในโลก Tomorrowland อีกครั้ง
รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ Tomorrowland
ใครที่เคยอ่านหรือติดตามบล็อกรีวิวหนังของเรามาบ้าง ก็คงจะพอทราบว่า เราจะชอบและสนับสนุนหนังแนวโลกดิสโธเปีย (Dystopian) กับหนังที่มีผู้หญิงเป็นตัวละครเอกของเรื่อง
แต่สำหรับ Tomorrowland นี้ เราคงต้องบอกว่าเป็นหนังดิสโธเปียที่มีตัวเอกเป็นผู้หญิงเรื่องแรก (ในช่วง recent years) ที่เรารู้สึกผิดหวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับคนที่เพิ่งดู Mad Max: Fury Road มาก่อนไม่กี่วันอย่างเรา ประเด็นโลกกลียุคและวีรสตรีของ Tomorrowland นี่แผ่วสนิทไปเลยจ้า
เพื่อไม่ให้เป็นการใจร้ายเกินไป เราเริ่มจากการชมก่อนละกัน เพราะอย่างน้อยเราก็ชอบธีมหนังและไอเดียของเขามากๆ กล่าวคือ ถึงแม้ไอเดียของหนังจะไม่ใหม่อะไรมาก แต่ก็ชื่นชมที่เขาก็จุดประเด็นได้ดี
หนังมีการเกริ่นถึงโลกที่ใกล้ล่มสลายในอนาคตอันใกล้ด้วยภัยธรรมชาติ ภัยพิบัติ ประชากรล้นโลก หรือการจราจลกลางเมือง ฯลฯ และที่เราชอบที่สุดคือ หนังมันสะกิดให้คนดูคิดต่อว่า “เออ กูรู้แล้วว่าโลกกำลังจะแย่ มึงจะบอกจะสอนอะไรกูนักหนา ช่วยบอกกูหน่อยได้มั้ยว่าพวกเราจะแก้ไขหรือทำอะไรได้บ้าง”
แล้วอีกอย่าง มันยังมีการแอบเล่นกับมิติของเวลาเช่นเดียวกับหนัง Interstellar อีกด้วยนิดนึง คือธีมโดยภาพรวมของ Tomorrowland มันดีงามมากๆ แต่ความผิดหวังมันอยู่ที่ลำดับต่อไป…
ในส่วนของการดำเนินเรื่อง ช่วงเปิดเรื่อง หนังทำได้น่าสนใจ มุกตลกหรือแอ็คติ้งของนักแสดงก็น่ารักน่าเอ็นดู เรื่องราวยังน่าติดตาม มีช่วงอืดๆ ย้วยๆ บ้าง แต่สำหรับเรา โลก Tomorrowland ก็ยังชวนตื่นตาตื่นใจ
ส่วนหนึ่งก็อาจต้องขอบคุณเทคโนโลยี CG ในปัจจุบันที่ช่วยให้การเนรมิตดินแดนแห่งโลกอนาคตของผู้กำกับฯ Brad Bird (จาก Mission: Impossible – Ghost Protocol และ The Incredibles) ออกมากหรูหราตระการตาเหนือจินตนาการได้ขนาดนี้
นอกจากนี้ ช่วงครึ่งแรกมันมีฉากบู๊ ตื่นเต้น เซอร์ไพรส์ พอเป็นน้ำจิ้มกันหอมปากหอมคอ ซึ่งจัดว่า “บันเทิง” ไม่เลวเลยทีเดียว
ช่วงกลางๆ ของหนัง ความตื่นเต้นของเราลดน้อยลงไปบ้าง เพราะฉากไฮไลต์ที่นางเอกไปที่บ้าน George Clooney และมีตัวร้ายตามมาฆ่านั้น เราเห็นในเทรลเลอร์หรือคลิปสั้น 7 นาทีไปแทบหมดแล้วสิ้น 99% (ดูแล้วหลายรอบซะด้วยสิ) แต่ถ้าใครยังไม่เคยดูเทรลเลอร์หรือคลิปสั้นดังกล่าวมาก่อน เราว่าคุณก็น่าจะยัง enjoy กับหนังซีนนี้อยู่อย่างต่อเนื่อง เพราะตอนเราดูคลิปนี้ครั้งแรก เราก็โคตรชอบเลย ชอบมากๆ ด้วย
แต่พอช่วงท้ายๆ ของหนังนี่สิ หนังเริ่มร่อแร่ลงๆ คือเริ่มอ่อนเปลี้ยหมดแรงตั้งแต่จุดที่พยายามเอาเรื่องราวของ Tomorrowland ไปผูกกับประวัติศาสตร์หอไอเฟล แต่ความสวยงามของปารีสและความโอ่อ่าของยานพาหนะของเขาก็ยังพอประคองหนังไปได้จนถึง Real Tomorrowland
แต่แล้วก็ค่อยๆ เข้าขั้นโคม่าอีกทีก็ช่วงที่พยายามเลคเชอร์วิชาวิทยาศาสตร์หรือพยายามโน้มน้าวคนดูด้วย fact หรืออะไรสักอย่าง แล้วทุกอย่างก็เริ่มเข้าสู่โหมด “เอ๊ะๆ” ทันที (ซึ่ง Adaline ก็ตกม้าตายเพราะข้อนี้ไปก่อนแล้วไม่นานนี้)
นอกจากพล็อตที่เบาโหวงแล้ว ตัวละครตัวร้ายก็ร้ายได้ไม่สะใจ ซีนดราม่าก็เชยสะบัดแถมยังทำได้ไม่สุดอีก มิหนำซ้ำดูแล้วยังรู้สึกแอบขัดจิตขัดใจเล็กน้อยอีกต่างหาก แต่ก็พยายามดูไปเรื่อยๆ จนจบ เพราะลุง George Clooney ขอไว้ (กับหนูเคซีย์) ว่า ช่วยแค่ impressed แล้วก็ move on ไปกับเรื่องได้มั้ย? ซึ่งก็… อืม… โอเค… ในที่สุดเราก็ไหลกับมันมาจนจบเรื่อง หนังยาว 130 นาที แต่ก็ไม่ได้พีคอะไรสักอย่าง ความรู้สึกของเราคือ “ว่างเปล่า”
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ความรู้สึกจะว่างเปล่า แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่ดิสนีย์ก็ยังเป็นดิสนีย์ กล่าวคือ Tomorrowland ยังคงคอนเซ็ปต์ “โลกสวย คิดบวก สร้างเสริมจินตนาการ ให้ข้อคิด และสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กๆ” อยู่ไม่เสื่อมคลาย
อันนี้ปรบมือจากใจ และขอให้พยายามทำหนังแนวนี้ต่อไป “Don’t give up!”
ไม่พูดถึงไม่ได้ คือเรื่องของนักแสดง เริ่มจาก George Clooney กับบท Frank Walker ก่อนเลยละกัน เพราะเราไม่มีอะไรจะพูดนอกจากจะบอกว่า George Clooney ก็ทำได้ดีตามมาตรฐานนักแสดงออสการ์ของเขา แต่แค่บทเรื่องนี้มันส่งได้แค่นี้ มันก็ต้องแค่ไหนแค่นั้น
ในส่วนของตัวละครจี๊ดสุดของเรื่องอย่าง Casey Newton ตอนแรกเห็นเขาว่าอยากได้ Shailene Woodley นางเอก Divergent มารับบทนี้ แต่สุดท้ายก็ได้ Britt Robertson มาแทน
อืม สำหรับเรา เราว่า Britt Robertson นางก็ทำได้ดีสำหรับบทนางเอกหนังใหญ่เต็มตัวเรื่องแรก มีบ้างที่ดู “พยายามเด็ก” จนล้นไปบ้าง แต่โดยรวมก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร น่ารักมีเสน่ห์ดีด้วย (ตัวจริง Britt Robertson อายุ 25 ปี) แต่ถ้าว่ากันด้วยฝีไม้ลายมือและพลังทางการแสดง ถือว่ายังห่างไกลจาก Shailene Woodley และ Jennifer Lawrence อยู่อีกหลายขุม
แต่ถึงกระนั้น คนที่ทำได้ดีที่สุดและช่วยประคองเรื่องได้จนตลอดรอดฝั่ง ไม่ใช่นางเอกสาว Britt Robertson แต่เป็นเด็กน้อยตกกระ Raffey Cassidy ที่เล่นบทโตเกินตัวได้ดี ไม่มากไป และไม่น้อยไป ที่สำคัญ โตไปมีแววว่าจะสวยซะด้วย ว่าไม่ได้
โดยสรุป ข้อดีของ Tomorrowland คือไอเดียดี มุกน่ารัก จินตนาการล้ำ โลกอนาคตตื่นตาตื่นใจ พูดง่ายๆ คือเป็นหนังขายฝัน คงคอนเซ็ปต์ “โลกสวย คิดบวก สร้างเสริมจินตนาการ ให้ข้อคิด และสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กๆ” อย่างฉากจบก็จบสวย ดูดีมีความหวัง ฟีลลิ่งกู้ด (ซึ่งบอกไม่ได้ว่าจะส่งต่อให้มีภาคสองหรือไม่ แต่โดยส่วนตัวคิดว่าคงไม่มี) แต่ข้อเสียของ Tomorrowland คือพล็อตยังเบา ยังไม่สุด ยังไม่พีค ดูสนุกแค่ช่วงแรกๆ แล้วช่วงหลังๆ อ่อนเปลี้ยมาก
แต่เอาเป็นว่า ไม่ว่าจะยังไง Tomorrowland ก็เป็นหนังที่พาเด็กๆ หรือคอหนังดิสนีย์ไปดูเอาบันเทิงได้ ไม่ได้ถึงกับเสียดายเวลาหรือเงินทองอะไร หรือสำหรับคนที่ต้องการแรงบันดาลใจอะไรสักอย่าง เราว่า Tomorrowland ก็ยังเป็นตัวเลือกที่โอเคสำหรับหนังใหม่ประจำวีค ถ้าไปดูแบบไม่คาดหวังอะไรมาก มันก็บันเทิงดีจริงๆ นะ
แล้วสมมติถ้าไปดู เราแนะนำให้ดูโรง IMAX หรือไม่ก็ 3D/4D ไปเลย ไม่ต้องห่วงเรื่องความคุ้มของภาพ ภาพเขาสวยจริง อีกอย่างก็คือ เผื่อไว้ในกรณี worst case ว่าคุณไม่ถูกจริตกับมันจริงๆ อะไรยังงี้ เพราะอย่างน้อยที่สุด ภาพเหนือจินตนาการแห่งโลกอนาคตใน Tomorrowland ก็ยังเป็นหนึ่งในความดีงามที่น่าจะลองไปสัมผัสดู
คะแนนความชอบส่วนตัวของเราอยู่ที่ 6.5/10 แต่สุดท้ายแล้ว อนาคตมันก็เป็นของคุณ คุณต้องกำหนดเองว่าจะดูหรือไม่ดู รีวิวนี้ของเราก็เป็นแค่ไกด์เล็กๆ เพียงเสี้ยวหนึ่งของการตัดสินใจของคุณ แต่ไม่ว่าจะทางไหน เราขอให้คุณ Enjoy your future ละกันเนาะ :)
Tomorrowland เข้าฉายแล้ววันนี้ 21 พ.ค. 2015 ทุกโรงภาพยนตร์
ป.ล. สรุปอี Tomorrowland ของนางนี่อยู่ที่ไหน? – –
1,980 comments
เขียนรีวิวได้ตรงกับที่ผมคิดเลย สารภาพตอนท้ายผมมีแอบง่วงด้วย ฮ่าา
ขอบคุณครับได้ความรู้มากมายเลย ขออนุญาติฝากเว็บดูหนังออนไลน์ https://www.nungmovies-hd.com/