เราไม่ได้ตั้งชื่อบล็อกนี้ว่า “รีวิว + ชื่อหนัง” เหมือนบล็อกอื่นๆ เพราะเราไม่ได้ตั้งใจจะรีวิวหรือแนะนำหนังเรื่อง A Lot Like Love (2005) แต่เราแค่จะพูดถึงความรักของเราตอนนี้ แล้วเราเพิ่งบังเอิญดู A Lot Like Love จบสดๆ ร้อนๆ ซึ่ง A Lot Like Love มันก็บังเอิญมีบางส่วนของเนื้อเรื่องที่ใกล้เคียงกับเรื่องของเราพอดี
ดังนั้น บล็อกนี้จึงแอบเป็นเรื่องส่วนตัวที่เราอยากหาพื้นที่บ่น ไม่มีสาระอะไร คุณไม่ต้องเสียเวลาอ่านมันก็ได้
เรื่องย่อ A Lot Like Love
Oliver Martin (Ashton Kutcher) กับ Emily Friehl (Amanda Peet) บังเอิญขึ้นเครื่องบินไฟลท์เดียวกันจาก LA ไป New York แล้วสปาร์คกัน ที่ New York นั้น Oliver เล่าเป้าหมายให้ Emily ฟังว่า ภายใน 5-6 ปีข้างหน้า เขาจะมีธุรกิจ มีบ้าน มีรถเป็นของตัวเอง และพร้อมที่จะมีครอบครัวที่ดีกับภรรยาแสนสวย พร้อมกับทิ้งเบอร์โทรให้ Emily โทรมาเช็ค 6 ปีหลังจากนี้
3 ปีต่อมา Emily ถูกแฟนหนุ่มทิ้งดื้อๆ และบังเอิญเจอโน้ตเบอร์โทรของ Oliver ในสมุด จึงโทรนัด Oliver ให้ออกมาพบกัน คืนนั้นทั้งสองไปปาร์ตี้ส่งท้ายปีเก่าด้วยกัน และลงเอยที่บ้านของ Oliver ซึ่งทำให้ Emily ได้รู้ว่าเขากำลังจะย้ายออกจาก LA ไปเปิดบริษัทกับเพื่อนที่ San Francisco ในวันพรุ่งนี้แล้ว
2 ปีต่อมา Oliver กำลังหัวหมุนกับการก่อร่างสร้างตัว แฟนสาวของเขาทนไม่ได้จึงขอเลิก Oliver เฮิร์ตหนัก กลับไป LA และแวะไปหา Emily ทั้งสองไปเที่ยวกันเหมือนเคย แต่อยู่ได้แค่คืนเดียว Oliver ก็ต้องไปประชุมงานใหญ่ที่ New York เขารู้ตัวแล้วว่าเขารัก Emily แต่เขาก็ต้องเลือกสร้างอนาคตให้มั่นคงก่อน มิฉะนั้นก็ไม่มีอะไรจะไปดูแลเธอ
แต่ 1 ปีต่อมา ธุรกิจของ Oliver ล้มละลาย เขาตกงาน ต้องกลับมาอยู่กับพ่อแม่ที่ LA และได้กลับไปหา Emily อีกครั้ง แต่คราวนี้ Emily ได้หมั้นกับคนอื่นเสียแล้ว ทั้งสองต่างก็เสียใจมาก
6 เดือนต่อมา Emily เจอม้วนฟิล์มที่ถ่ายที่ New York กับ Oliver เมื่อ 7 ปีก่อน และยังไม่ได้ล้าง เธอจึงรู้ว่าเธอควรจะตัดสินใจยังไง เธอเลิกกับคู่หมั้น เพื่อจะกลับไปหา Oliver แต่เพื่อนสนิทของ Emily ก็บอกว่า มันสายไปแล้ว เพราะ Oliver กำลังจะแต่งงาน Emily จึงรีบไปที่บ้านของ Oliver เพื่อไปบอกความรู้สึกที่เธอมีต่อเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะเป็นของคนอื่น
“ครั้งแรกเราเรียกบังเอิญ แต่ครั้งอื่นๆ เราเรียกตั้งใจ”
พูดถึงหนัง A Lot Like Love และความรักของตัวเอง
จริงๆ A Lot Like Love เป็นหนัง rom-com ที่ออกมาตั้งแต่ปี 2005 แต่เราไม่เคยดูมาก่อน เพิ่งมาดูในแอปฯ Primetime เพราะซื้อโปรฯ บุฟเฟ่ต์ในแอปฯ มา แล้วก็เลยแรนดอมหนังดูเล่นให้คุ้มๆ สะดุดตากับชื่อหนัง A Lot Like Love ก็เลยลองกดปุ่ม “Watch Now” ดู
จะว่าไปแล้ว มันก็ดีเหมือนกันที่เราไม่ได้ดูตั้งแต่ตอนมันออกใหม่ๆ เพราะตอนนั้นเราก็เพิ่งอายุแค่ 15 ปี และหนังเรื่องนี้มันก็ไม่ได้เหมาะกับวัยรุ่นวัยทีน มันเหมาะกับวัย twenty-something จนถึง thirty-something เสียมากกว่า ซึ่งพอเราได้มาดูหนังเรื่องนี้จริงๆ ในปี 2015 เราก็อายุ 25 ปี และจัดเป็นหนึ่งใน target group ของหนังเขาพอดิบพอดี
Let it go! Smile! You’re with me.
จากหนัง เราเห็น Oliver ในตัวเราเองและในตัวเพื่อนๆ รอบข้างเรา ช่วงเรียนจบใหม่ๆ หรือช่วง 5 ปีแรกหลังการเรียนจบคือช่วงสร้างอนาคต แต่ละคนก็ยังลองผิดลองถูก ค้นหาตัวเอง และยุ่งอยู่กับการสร้างเนื้อสร้างตัว บ้างก็เรียนต่อ บ้างก็พยายามไต่เต้าทางหน้าที่การงาน หรือบ้างก็เริ่มต้นทำธุรกิจส่วนตัว อย่างตัวเราเองก็ไม่มีวันไหนไม่ทำงาน คนที่เราชอบเองเขาก็ไปเรียนต่อในสายงานของเขาที่ต่างประเทศ เราเหมือนเดินกันคนละทาง และก็อยู่ไกลกันหลายพันไมล์ และก็รอวันที่เราพร้อมจริงๆ ก่อน เราถึงจะเริ่มคิดจริงจังเรื่องความรัก
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่มีความรัก เรามี… เรารัก… แต่เราก็ยังจริงจังกับมันไม่ได้ เพราะยังมีสิ่งที่สำคัญกว่าที่จะต้องทำ เราอาจจะทีเล่นทีจริงไปเรื่อยก็ได้ แต่สุดท้ายเราก็รู้ตัวว่าเรายังไม่พร้อมให้เวลากับใคร ผูกพันกับใคร ยังไม่พร้อมแต่งงาน ยังไม่พร้อมเลี้ยงลูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่กำลังเป็นขาขึ้นในหน้าที่การงานและการกอบโกยความสุขในวัย twenty-something (แน่นอนว่าเราไม่เข้าใจเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันที่ด่วนเข้าประตูวิวาห์เลย เว้นแต่คู่ที่ท้องก่อนแต่ง)
แต่สิ่งที่ tragic คือ เราเหมือนในหนังเขาก็แค่นั้นนั่นแหละ แตกต่างที่สุดก็ตรงที่ พระนางในหนังเขาแอบมีใจให้กันทั้งสองฝ่ายและก็ดูเหมือนจะเข้ากันได้ดี ในขณะที่เรารักเขาข้างเดียวเสมอมาและไม่เคยได้โอกาสที่จะได้ความรักจากเขาเลยสักครั้ง
หลายปีที่ผ่านมา เราไม่เคยรักใครได้นอกจากเขา เราพยายามทำตัวเองให้ดีขึ้นทุกอย่าง ไม่ว่าจะสวยขึ้น เก่งขึ้น รวยขึ้น หรือดีขึ้น ทุกอย่างก็เพราะเขาคนเดียว เรียกได้ว่าเราพยายามทำทุกอย่างแล้วให้เขารัก ไม่ว่าจะอยู่ใกล้ หรืออยู่ไกล แต่สุดท้าย เราก็ได้รู้ว่า ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน เรามันไม่ใช่ ต่อให้ดีแทบตาย ไม่ใช่ก็คือไม่รักอยู่ดี
จริงๆ เราก็อยากถามเขาว่า เรารักเขาน้อยกว่าที่คนคนนั้นรักเขาตรงไหน และเรายังไม่ดีตรงไหนยังไง ทำไมเขาถึงให้โอกาสเราไม่ได้ และก็อยากให้เขารู้ไว้อีกอย่างนึงว่า ถึงแม้บางครั้งเราอาจจะทำให้รำคาญ แต่เราเชื่อว่าเราจะไม่มีวันทำให้เขาเสียใจ และจะดูแลเขาได้ดีไม่แพ้ใคร
สุดท้ายนี้อยากบอกว่า เราไม่เคยเสียใจที่ไปเสียเวลาตั้งหลายปีเพื่อรักคนที่ไม่รักเราคนเดียว เพราะเราได้ดีได้อย่างทุกวันนี้ก็เพราะรักคนอย่างเขา แต่มันคงจะถึงเวลาแล้ว ที่เขาจะเป็นฝ่ายเสียบ้าง… เขากำลังจะเสียผู้หญิงที่รักเขามากที่สุดและนานที่สุดคนหนึ่งไป… ซึ่งเขาอาจจะดีใจและโล่งใจกับการสูญเสียครั้งนี้หรือไม่ก็ได้ เพราะไม่ว่าเขาจะรู้สึกยังไง เราก็รู้สึกกับเขาเหมือนเดิมอยู่ดี
อืม เราเข้าใจแล้วว่า “ไม่ได้เลิกรัก แต่แค่เหนื่อยที่จะพยายาม” มันเป็นยังไง มันเป็นยังงี้นี่แหละ ชัดเลย
“I don’t think having sex with someone you haven’t really even met yet is a lot like love. Perhaps staying connected to someone and always finding your way back to them is though.”
ป.ล. เวลาดูหนังเก่า เรารู้สึกดีตรงที่ได้เห็นว่า ความรักของคนสมัยก่อนดูต้องพยายามหนักกว่าคนสมัยนี้ เพราะการติดต่อสื่อสารหรือการคมนาคมไปมาหาสู่กัน มันไม่ได้สะดวกสบายเท่าในยุคปัจจุบันนี้
33 comments