หลายคนมี perception ไปแล้วว่าหนัง Sci-fi หรือ Space Movie จะเป็นแนวแอ็คชั่นหรือทริลเลอร์ เช่น Star Wars, Star Trek ฯลฯ หรือถ้ามีดราม่าก็พอมีได้ แต่ก็ต้องแมสและดูง่ายด้วย เช่น Gravity, Interstellar ฯลฯ
ส่วนหนังไซไฟอวกาศที่ดราม่าหนักหน่อย หรือไปออกแนว “ล้ำลึก” เช่น First Man, Arrival รวมถึงหนังไซไฟอวกาศเรื่องล่าสุดอย่าง Ad Astra เนี่ย คนดูทั่วไปจะยังไม่ค่อยชิน ถ้าไม่ทราบมาก่อน ไปรู้ทีเดียวในโรง บางทีปรับตัวไม่ทัน ก็จะพาลว่าเอาได้ว่าหนังน่าผิดหวัง
James Gray ผู้กำกับ Ad Astra เอง ก็เหมือนผู้กำกับหนังไซไฟอวกาศคนอื่น ๆ ที่ได้รับแรงบันดาลใจและอิทธิพลมาจากหนังในตำนานเรื่อง 2001: A Space Odyssey (1968) และอยากทำหนังอวกาศที่ดูเรียล ดูเป็นไปได้ในอนาคตอันใกล้ และไม่จินตนาการหวือหวาฟู่ฟ่าจนเกินไป
Ad Astra (เป็นภาษาละติน แปลว่า “to the stars” หรือ “สู่ดวงดาว”) เป็นหนังไซไฟอวกาศที่ไม่ใช่แนวทริลเลอร์หรือแอ็คชั่น แต่เป็นหนังเกี่ยวกับการค้นหาตัวเองระหว่างการเดินทางอันไกลโพ้นในห้วงจักรวาลอันเงียบงันและมืดมิดของ Major Roy McBride (Brad Pitt จาก World War Z)
เรื่องย่อ Ad Astra
Roy ได้รับมอบหมายเป็นนักบินอวกาศและเป็นลูกชายของนักบินอวกาศในตำนาน Clifford McBride (Tommy Lee Jones จาก No Country for Old Men) ผู้เป็นคนแรกที่ได้เหยียบบนดาวพฤหัสฯ และดาวเสาร์ แต่สูญหายไปขณะที่ไปทำภารกิจ Lima Project ที่ดาวเนปจูนเมื่อหลายปีก่อน
วันหนึ่งโลกเกิดปรากฏการณ์ The Surge ขึ้น แล้ว SpaceCom เชื่อว่าคลื่นนี้มีความเกี่ยวข้องกับ Lima Project และเชื่อว่าพ่อของ Roy ยังมีชีวิตอยู่ Roy จึงถูกมอบหมายให้เดินทางไปฐานที่ดาวอังคาร เพื่อติดต่อกับ McBride ผู้พ่อ
ระหว่างทำภารกิจนั้น Roy ได้ล่วงรู้ความจริงที่ถูกบิดเบือนมาตลอดชีวิต เขาจึงตัดสินใจเดินทางไปยังดาวเนปจูนด้วยตัวเขาเองคนเดียว เพื่อไปพาพ่อของเขากลับบ้าน
รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ Ad Astra
เป็นที่รู้กันว่า นักบินอวกาศมีหน้าที่และความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ระดับมวลมนุษยชาติ คนที่จะทำอาชีพนี้ต้องอุทิศตนอย่างมากและเสียสละเวลาที่พึงมีต่อครอบครัวหรือคนรักไปจนแทบไม่เหลือ แล้ว Roy โฟกัสกับงานตรงนี้มาก จนแทบจะตัดขาดละทิ้งทางโลกที่จะ distract เขาจากงานไปหมดสิ้น รวมถึงละเลยและละเลิกกับ Eve ภรรยาของเขา (Liv Tyler จาก Armageddon)
เขาพยายามไม่ผูกพันกับใคร คนที่คุยกับเขาเยอะที่สุดดูเหมือนจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทดสอบและประเมินความพร้อมในการขึ้นบินนั่นแหละ แต่อย่างไรก็ดี ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพ่อของเขามันชัดเจนอย่างยิ่ง ถึงแม้ตลอดเรื่อง Brad Pitt กับ Tommy Lee Jones จะร่วมเฟรมกันไม่กี่นาทีก็ตาม
ในวงการนี้ Roy ก็เหมือน Harry Potter ที่เกิดมาพร้อมกับชื่อเสียงจากการเป็นเงาของบุพการีผู้ยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตาม สำหรับ Roy แล้ว Clifford ไม่ได้เป็นแค่ไอดอลหรือผู้บุกเบิกของนักบินอวกาศเท่านั้น หากแต่ Clifford ยังเป็นพ่อ ที่เขายึดติดเป็นสรณะ และพยายามเดินตามรอยพ่อมาตลอดหลายสิบปี
สำหรับ Roy แล้ว พ่อเปรียบเสมือนพระเจ้าผู้สร้างเค้าขึ้นมา เค้าพยายามเป็นเหมือนพ่อ ทำเหมือนพ่อ เดินตามคำสอนของพ่อ และสานต่อความฝันของพ่อ การเป็นนักบินอวกาศเหมือนพ่อจึงเหมือนเป็นทุกทุกอย่างในชีวิตของเค้า จนกระทั่งวันที่เค้าได้รับทราบข่าวว่าพ่อของเค้าอาจจะยังมีชีวิตอยู่ เค้าก็อยากพูดคุยกับพ่อ อยากไปเจอพ่อ อยากแสวงหาคำตอบว่าทำไมพ่อถึงทิ้งเค้าไป
ตัวละคร Roy เหมือนจะมีความนิ่ง ๆ เงียบ ๆ แต่จริง ๆ คือมีความซับซ้อนทางอารมณ์สูง เขาดูเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์และสถานการณ์ฉุกเฉินได้ดี ส่งผลให้อัตราการเต้นของหัวใจของเขาไม่เคยสูงเกิน 80 แม้กระทั่งในภาวะคับขันหรือสภาวะกดดันก็ตาม แต่ลึก ๆ เขาก็เป็นคนที่มีความเก็บกดและแอบกดดันตัวเองอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ซึ่งทั้งนี้ ก็ต้องบอกว่า Brad Pitt สวมบทบาทเป็น Roy ได้ดีทีเดียว เขาเล่นน้อยแต่ได้มาก และน่าประทับใจไม่แพ้กับที่เขาปล่อยของไว้ใน Once Upon a Time… in Hollywood
ถ้าไม่นับฉากโจรสลัดบนด้านมืดของดวงจันทร์ (ซึ่งก็จะมีแค่นั้น เพราะหนังขายความสมจริง โดย ณ เวลาในหนังเนี่ย ถ้าตัวละครเดินทางไปไกลโลกกว่านั้น ก็จะไม่ค่อยเจออุปสรรคอะไรมากนักหรอก ประชากรยังเข้าถึงจักรวาลได้แค่นี้) การเดินทางในห้วงอวกาศของ Roy ไม่ได้ตื่นเต้นหรือหวือหวาอะไรเลย
โลกอนาคตที่ James Gray ครีเอทขึ้นมาในหนัง Ad Astra นี้ มนุษย์โลกสามารถเดินทางไปดวงจันทร์ได้เสมือนนั่งเครื่องบินข้ามทวีปบนโลกปกติ และตามฉบับโลกทุนนิยม ดวงจันทร์ก็เริ่มแมสและมี commercial มาเกี่ยวข้อง ตั้งแต่ไฟล์ทจากโลกไปดวงจันทร์ที่มีค่าใช้จ่ายหากคุณต้องการใช้ผ้าห่มหรือหมอนบนเครื่อง จนไปถึงการมีร้าน Subway และช็อป DHL ตั้งอยู่บนสถานีดวงจันทร์
การเดินทางไปดวงจันทร์กับดาวอังคารเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเบาะ ๆ อารมณ์เหมือนเรานั่งรถไฟไปกลับกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ที่ไม่ได้ลำบากอะไรมาก นานนิดหน่อย แต่ยังพอมีเพื่อนเดินทางไปกับเราด้วย แต่พอเดินทางมาถึงไฟล์ทต่อไปของพระเอกนี่สิ… เค้าต้องเดินทางไปดาวเนปจูนคนเดียว กินเวลากว่า 79 วัน ลอยละล่องอยู่บนห้วงอวกาศอันเวิ้งว้างและไกลโพ้น ไปยังจุดหมายที่… เค้าเองก็ยังไม่แน่ใจ 100% ว่าจะเจอมันหรือเปล่า… ถึงกระนั้น…ถึงแม้อะไร ๆ จะดูเป็นไปไม่ได้ แต่เค้าก็ไม่มองข้ามความเป็นไปได้
เช่นเดียวกับ Clifford ที่นอกจากจะไปพิชิตดาวดวงต่าง ๆ ในระบบสุริยะแล้ว ยังมีความเชื่อและมีความพยายามที่จะค้นพบเอเลี่ยนบนดาวดวงใดดวงหนึ่งบนจักรวาลนี้ด้วย สำหรับ Clifford แล้ว นี่คือเป้าหมายในการมีชีวิตอยู่ของเค้า และการกลับไปโลกไม่ได้อยู่ในแพลนใดใดของเค้าเลย เขาละทิ้งและตัดหมดสิ้นแล้วทุกอย่างบนโลก
แต่ไหนแต่ไรมา เอเลี่ยนมักถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของเทวดาหรือพระเจ้า ผู้ที่เราเชื่อว่ามีภูมิปัญญาหรือวิทยาการสูงส่งกว่ามนุษย์ ดังนั้น ถ้า “นิพพาน” คือจุดหมายปลายทางของชาวพุทธ สำหรับชาวคริสต์ จุดหมายปลายทางของพวกเขาก็อาจจะเป็นการเข้าถึงพระเจ้า ซึ่งนั่นก็อาจจะเป็นสาเหตุที่ Clifford ไม่ยอม give up ในการตามหาผู้ทรงภูมิ และไม่ยอมกลับมาตุภูมิ
ส่วน Roy นั้น การเดินทางอันยาวนานและโดดเดี่ยวของเค้านำเค้ามาพบกับทั้งความสมหวังและผิดหวัง พ่อซึ่งเคยเปรียบเสมือนพระเจ้าของเค้ากลับไม่ใช่อย่างที่เค้าเคยรู้จักหรือคาดหวัง ซึ่ง Clifford ก็ไม่ใช่พ่อพระหรือพระเจ้าสำหรับทุกคนเช่นกัน
แต่ระหว่างทาง Roy ได้ดำดิ่งไปกับความเงียบและความมืดนั้น มันเหมือนเค้าได้เข้าฌาณและได้คุยกับตัวเอง จนกระทั่งได้ค้นพบจุดหมายปลายทางที่แท้จริงใหม่ พบว่าโลกมีหลายอย่างให้ค้นพบซึ่งแต่ละคนไม่จำเป็นต้องไปค้นหาหรือค้นพบในสิ่งสิ่งเดียวกัน และสุดท้ายเค้าก็ได้เลือกที่จะไปต่อในทางเดินของตัวเองที่ไม่ใช่ตามรอยพ่อของเค้าอีกต่อไป… เค้าต้องกลับไป focus กับอะไร, embrace กับอะไร, และอะไรที่เค้าควรที่จะ let it go…
ไม่ว่าอย่างไร สำหรับคนดูอย่างเรา การเดินทางสู่ดวงดาวครั้งนี้เป็นสิ่งที่สวยงามและดำดิ่งจนเกือบลึกถึงก้นบึ้งของหัวใจอย่างยิ่ง ชอบงานกำกับภาพของ Hoyte Van Hoytema (จาก Dunkirk และ Interstellar) ที่ให้ความรู้สึกเหงาและเคว้งคว้าง แต่ในขณะเดียวกัน ก็รู้สึกว่ามันสวยงามยิ่งใหญ่ เสียดายที่ไม่ได้ดูบนจอ IMAX ไม่งั้นคงรู้สึกตื่นตาตื่นใจมากกว่านี้
สุดท้ายนี้ เราคิดว่า Ad Astra ไม่ใช่หนังสำหรับทุกคน เช่นเดียวกับที่เราก็คิดว่าแม้แต่หนังแมส ๆ อย่าง Star Wars หรือ Star Trek เองก็ไม่ใช่หนังสำหรับทุกคน เพราะจากความรู้สึกส่วนตัวของเราคือ เราไม่อินกับ Star Wars หรือ Star Trek เลย แต่เรากลับชอบฟีลลิ่งตอนที่กำลังดู Ad Astra มากกว่า ตอนจบคือทัชหัวใจเราอย่างมาก สำหรับเรา มันเป็นหนังอวกาศที่เรียลและงดงามมากจริง ๆ
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 8.5/10
106 comments
Comments are closed.