แฟรนไชส์ “Fallen” เป็นที่รู้จักกันว่าหนังเน้นคอนเซ็ปต์องครักษ์พิทักษ์ประธานาธิบดี โดยภาคแรก Olympus Has Fallen เรื่องเกิดขึ้นที่อเมริกา และภาคสอง London Has Fallen เรื่องเกิดขึ้นที่อังกฤษ ส่วนภาคสามนี้ Angel Has Fallen เรื่องเกิดที่อเมริกา แต่เป็นภาคที่เน้นเล่าแบ็คกราวนด์ของ Mike Banning (Gerard Butler) มากกว่าภาคอื่น ๆ
ทั้งสามภาคสามารถดูเดี่ยว ๆ ได้ ไม่จำเป็นต้องดูภาคใดภาคหนึ่งก่อนถึงจะดูอีกภาคหนึ่งรู้เรื่อง เพราะแต่ละภาคมันไม่ต่อกันและมีสตอรี่ของใครของมัน

ภาคนี้มีการเปลี่ยนประธานาธิบดี ปัจจุบันเป็นยุคของ President Trumbull (Morgan Freeman) ซึ่งในภาคก่อนหน้านั้น เขาเป็นโฆษกและเป็นรองประธานาธิบดีตามลำดับ ส่วนรองประธานาธิบดีในภาคนี้คือ Kirby (Tim Blake Nelson)
นโยบายของ President Trumbull ทำให้มีผู้เสียประโยชน์ หนึ่งในนั้นคือ Wade Jennings (Danny Huston) ผู้ที่ดูก็รู้ตั้งแต่สามร้อยเมตรว่าเป็นตัวร้ายโดยกำเนิด เขาอยู่เบื้องหลังในการลอบสังหารประธานาธิบดีในภาคนี้ และใส่ร้ายป้ายสีให้ Mike Banning เป็นแพะรับบาป ทำให้องครักษ์มือขวาตกสวรรค์และต้องหนีการไล่ล่าหัวซุกหัวซุน
และอย่างที่บอกไป ภาคนี้จะเล่าเรื่องของ Mike Banning มากขึ้น ซึ่งก็คือพาร์ทครอบครัว ตั้งแต่ Leah ภรรยาของเขา (Piper Perabo) กับลูกสาวตัวน้อย และความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ Clay (Nick Nolte) พ่อของเขา เป็นอดีตทหารผ่านศึก และไม่ได้เจอกันหลายสิบปี ซึ่งการปรากฏตัวของ Nick Nolte ก็ช่วยยกระดับหนังให้ดูมีชีวิตชีวาและความสนุกมากขึ้นมาก

เนื่องจากหนังไปเน้นเล่าเรื่องส่วนตัวของบอดี้การ์ดซะมาก ช่วงแห่งการ protect ประธานาธิบดีก็น้อยลงกว่าภาคก่อนไปโดยปริยาย แล้วก็เหมือนเกือบจะกลายเป็นหนังแอ็คชั่นไล่ล่าสูตรสำเร็จธรรมดา ๆ ทั่วไปอยู่ละ เพราะหลังจากฉากลอบสังหารที่ทะเลสาบในตอนแรกไปแล้ว ก็กลับมาวอแวกับประธานาธิบดีอีกทีตอนองก์สามเลย คือกลับมาพิทักษ์ประธานาธิบดีอีกทีตอนท่านฟื้นแล้ว
แล้ว Morgan Freeman เองก็แก่แล้ว (82 ปีแล้ว) ไม่เหมือนคนที่เป็นประธานาธิบดีภาคก่อน ที่ยังหนุ่มยังแน่น ดังนั้น ในภาคนี้ ประธานาธิบดีจะลุยเยอะมากไม่ได้ ปล่อยให้ Gerard Butler ลุยเดี่ยวปิดไตรภาคของเขาไป (จริง ๆ ภาคนี้ Gerard Butler ก็ดูแก่ขึ้นไม่น้อยเหมือนกัน)
ข้อเสียคือ ตัวอย่างหนังบอกจุดสำคัญของหนังไปแทบหมดแล้ว มันจึงไม่ค่อยเหลืออะไรให้ลุ้นมากนัก หรือจริง ๆ ต่อให้ไม่ได้ดูตัวอย่างหนังก่อน ก็เดาเรื่องได้ไม่ยาก พล็อตเรื่องนี้ไม่ค่อยมีอะไรเซอร์ไพรส์หรือซับซ้อน
แต่มันก็มีไดอะล็อกเกี่ยวกับการเมือง สงคราม และความรักชาติที่หนังตั้งใจใส่เข้ามาอย่างชัดเจน ที่เราฟังแล้วก็ฮึกเหิม ถึงแม้พอยต์จะไม่ใหม่ แต่ก็ยังกินใจเราอยู่บ้าง และก็ชื่นชมในความพยายามเชื่อมโยงใส่เข้ามาในหนัง อ้อ… มีการโยงไปรัสเซียเป็นตัวร้ายด้วยนะ เดี๋ยวนี้หนังก่อการร้ายของอเมริกันจะขาดประเทศนี้ไปไม่ได้เลยจริง ๆ

ในส่วนของฉากไล่ล่าและฉากแอ็คชั่น ก็ทำได้ดีตามมาตรฐานหนังบล็อกบัสเตอร์ ดูได้เรื่อย ๆ แบบว่ากินป๊อปคอร์นไปดูไปอย่างเพลิน ๆ โดยส่วนตัวคิดว่าไม่แย่นะ ดูได้สนุก ๆ แต่ระเบิดเยอะเกินไปหน่อย ฉากระเบิดครั้งแรกที่โดรนมาระเบิดลอบฆ่าที่ทะเลสาบ ก็ยังตื่นตาตื่นใจอยู่นะ แต่ไป ๆ มา ๆ มันเริ่มเอะอะอะไรก็ระเบิด ระเบิดภูเขาไปครึ่งลูกบ้างล่ะ ระเบิดโรงพยาบาลหายไปทั้งโรงบ้างล่ะ ฯลฯ เลยรู้สึกว่ามันเฟ้อไปละ อย่างไรก็ดี คิดว่าคอหนังแอ็คชั่นก็น่าจะพึงพอใจแหละ
การถ่ายภาพก็แปลกดี เช่น ฉากที่ต่อสู้กันบนรถในตอนกลางคืนมืด ๆ อันนั้นคือแทบไม่เห็นอะไรเลย ได้ยินแต่เสียง เห็นอีกทีคือพระเอกฟาดเรียบหมดแล้ว ถ้าคิดในแง่คือ หนังต้องการความสมจริง ให้เรารู้สึกเหมือนกำลังไฟต์ในที่มืดกับพระเอกจริง ๆ และก็มีฉากเฉลยที่ซ่อนของประธานาธิบดีในองก์สุดท้าย ก็ดูพยายามใส่ลูกล้อลูกชนในการถ่ายภาพดี ทำให้มันดูมีอะไรมากขึ้น
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 7.5/10
40 comments
Comments are closed.