When you said you were going to open Wakanda to the rest of the world, this is not what I imagined.
การรีวิว Avengers: Infinity War ไม่ให้มีใครสักคนมากล่าวหาได้เลยว่าเราสปอยล์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะความละเอียดอ่อนของแต่ละบุคคลไม่เท่ากัน แต่เราสัญญาว่าจะพยายามรีวิวโดยไม่แตะต้องเนื้อหาสำคัญของหนัง เช่น ใครตายบ้าง จบยังไง ใครชนะ ฯลฯ เราจะไม่พูด ดังนั้น คนที่ยังไม่ได้ดูหนัง น่าจะอ่านรีวิวนี้ผ่าน ๆ อย่างสบายใจได้
Avengers: Infinity War เป็นการรวมตัวกัน(อีกครั้ง)ของทีม Avengers + ทีม Guardians of the Galaxy + ทีม Black Panther ฯลฯ เพื่อปกป้องโลกจากมารตัวม่วง Thanos (Josh Brolin จาก Only the Brave) ที่กำลังเก็บสะสม Infinity Stones ทั้งหก (ได้แก่ Mind, Soul, Time, Power, Space, และ Reality) เพื่อฆ่าล้างประชากรในจักรวาลให้เหลือแค่ครึ่งเดียว
ตอนแรกก็นึกภาพอยู่ว่า ปกติเวลาพวกสมาชิก Avengers รุ่นบุกเบิกอยู่ด้วยกันและไปตีคนร้ายด้วยกัน มันก็ยั้วเยี้ยะอีรุงตุงนังมากพออยู่แล้ว แล้วมาภาคนี้ ตัวละครฮีโร่เยอะขึ้นมาอีกเป็นดอกเห็ด มันจะออกมาอีหรอบไหนถ้าต้องยกขโยงไปตี Thanos พร้อมกัน แต่พอเอาจริง มาดูก็เข้าใจละ เค้ากระจายกำลังกันไปเป็นกลุ่ม ๆ รบกันคนละสนาม มีแค่ช่วงท้ายตอนไคลแม็กซ์ที่มารวมตัวกันเกือบครบทีม ไม่รู้เพราะตั้งใจไว้อยู่แล้ว หรือเพราะการให้ดาราทุกคนเทคิวมาถ่ายพร้อมกันมันเป็นไปไม่ได้ (หรือ both!)
เริ่มแรกเปิดเรื่องมาจะเจอเทพบนอวกาศก่อน นั่นคือ Thor (Chris Hemsworth) กับ Loki (Tom Hiddleston) ซึ่งต่อมาจะไปเจอกับยานของพวกทีม Guardians of the Galaxy อันได้แก่ Peter Quill (Chris Pratt), Gamora (Zoe Saldana), Rocket (Bradley Cooper), Groot (Vin Diesel), Drax (Dave Bautista), และ Mantis (Pom Klementieff) ทั้งนี้ยังไม่นับ Nebula (Karen Gillan) น้องสาว Gamora อีกหนึ่งคน ซึ่งภาคนี้ Gamora ค่อนข้างมีบทบาทสำคัญ ด้วยความเป็นลูกเลี้ยงคนโปรดของ Thanos นั่นเอง
Hulk หรือ Bruce Banner (Mark Ruffalo) ดูโอของ Thor จากภาคล่าสุด กลับไปโลก ฟอร์มทีมสายวิทย์กับ Tony Stark (Robert Downey Jr.) และ Dr. Strange (Benedict Cumberbatch) รวมถึงเด็กตัวจี๊ดในปกครอง (สายวิทย์เช่นกัน) ของ Stark อีกคน นั่นคือ Spider-Man (Tom Holland) หลัก ๆ ทีมนี้ต้องปกป้อง Time Stone ที่ Dr. Strange ครอบครองดูแลอยู่
Scarlet Witch (Elizabeth Olsen) กับ Vision (Paul Bettany) คู่จิ้นเหนือมนุษย์ภาคนี้ก็(กึ่ง)เปิดตัวเป็นคู่รักชัดเจนกว่าภาคที่แล้ว และอย่างที่รู้กัน ในตัวของ Vision ว่ามี Mind Stone อยู่ ยังไง Thanos ก็ต้องตามมาจัดการ ทางกัปตัน Steve Rogers (Chris Evans) ไม่ปล่อยให้เพื่อนเดือดร้อน ตามมาช่วยเสริมทัพ พร้อมกับ Natasha Romanoff (Scarlett Johansson) และ Falcon (Anthony Mackie) อ้อ… และจริง ๆ จะมี War Machine (Don Cheadle) ด้วยอีกคน เกือบลืม เพราะบทแต่ละคนเยอะกว่าปู่ Stan Lee แค่นิดเดียวจริง ๆ
ส่วน Bucky Barnes (Sebastian Stan) อยู่ที่ Wakanda กับฝ่าบาท T’Challa (Chadwick Boseman) ซึ่งก็จะมีเจ้าหญิง Shuri (Letitia Wright) กับนายพล Okoye (Danai Gurira) ที่จะมีซีนบ้างตามอัตภาพ
ส่วน Ant-Man กับ Clint Barton ไม่มา ติดสัญญาอยู่กับครอบครัว (ซึ่งชีวิตจริง จากเนเจอร์เท่าที่เห็นมาจากหนังก่อน ๆ ของมาร์เวล เราว่าเป็นไปได้ยากมากที่สองคนนี้จะปล่อยให้โลกหรือเพื่อนของเขาต้องต่อสู้กับ Thanos โดยที่เขาไม่เข้าไปเอี่ยวด้วย)
สำหรับจำนวนฮีโร่และแบ็คอัพฮีโร่อันมากมายเป็นโหล ๆ อย่างน่าเห็นใจ และเวลาสองชั่วโมงครึ่ง ก็ต้องถือว่าผู้กำกับสองพี่น้องรุสโซ่ Anthony และ Joe Russo (จาก Captain America) พยายามกระจายบทและบาลานซ์หนังได้ดีเท่าที่เขาคงจะทำได้แล้วล่ะ ผลลัพธ์ออกมาก็ยังเป็นหนัง Avengers ที่สนุกมากอยู่ ยังตอบโจทย์ความมัน(ส์)สะใจ บู๊ล้างผลาญมหาประลัย ความบันเทิง รวมถึงมุกตลกสไตล์มาร์เวล ได้อย่างครบครัน (แถมบางแก๊งนี่เหมือนไม่ได้ตั้งใจจะมารบ แต่ตั้งใจมาเพื่อเล่นตลกโดยเฉพาะมากกว่า) ชนิดที่สาวกคงถูกใจ หรือคนที่ไม่ใช่ติ่งได้ดูก็ไม่น่าจะรู้สึกเสียดายตังค์
แต่ถ้าเอาตามที่บางคนอวยว่า นี่คือหนังฮีโร่มาร์เวลที่ดีที่สุด อันนี้เราแอบไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่ คือเราไม่ได้รู้สึกว่ามันพีคขนาดนั้น เรารู้สึกว่าหลาย ๆ เรื่องก่อนหน้ายังดีกว่า อย่างน้อย ๆ ก็ Black Panther แล้วล่ะอันหนึ่ง (แต่จะว่าไป ก็เห็นมีคนพูดว่า “หนังมาร์เวลที่ดีที่สุด” ทุกครั้งเวลาที่มีหนังมาร์เวลใหม่ ๆ เข้าฉาย) หรือถ้าเปรียบเทียบเฉพาะกับ Avengers ด้วยกัน เรายังชอบสองภาคก่อนหน้ามากกว่าอยู่ดี แม้แต่ภาคแรกที่ตัวร้ายยังเป็นแค่เทพกิ๊กก๊อก (Loki) เราว่าอะไร ๆ มันก็ยังดูลงตัวกว่านี้
จริง ๆ แอบรู้สึกด้วยว่า Captain America: Civil War (ที่สองพี่น้องรุสโซ่กำกับเช่นกันนี่ล่ะ) ยังมีความเป็นหนัง Avengers มากกว่า Infinity War ภาคนี้ เรารู้สึกว่า Infinity War เหมือนหนังของ Thanos มากกว่าหนังของ Avengers ซึ่งเอาจริง เราชอบนะที่ทำให้เขาเป็นตัวร้ายที่มีมิติ มีมุมของคนเป็นพ่อ มีมุมรักโลก มีเป้าหมายและอุดมการณ์ที่ยังมีความเป็นมนุษย์ ฯลฯ จนแอบคิดไปอีกว่า ถ้าตอนแรกทำเป็นหนัง Thanos ไปเลย แล้วให้พวก Avengers มาเป็นอุปสรรค (หรือพูดง่าย ๆ ก็ตัวร้าย) ของ Thanos ไปเลย อาจจะออกมาดีหรือเต็มที่สักทิศสักทางกว่านี้ก็ได้ (แต่ก็เข้าใจนะว่า Avengers มีดาราแม่เหล็กมากมายที่ยังไงก็ต้องเอามาใช้ให้คุ้ม)
อย่างไรก็ตาม ภาคนี้ฉลาดในการทำ ending เหมือนรู้ดีว่าจบแบบนี้คนจะอิน จะหน่วง จะตราตรึง จะอยากดูภาคต่อทันที คือเขาเล่นกับความรู้สึกของคนดู ทั้งเรื่องจะขึ้นจะลง จะเฉยจะพีคหรือไม่ยังไงไม่รู้ แต่พอจบแบบนี้ปุ๊บ โอ้โห… โลกจดจำ (และนั่นแหละ เค้าถึงได้มีประเด็น “อย่าสปอยล์ๆๆ” กันไปทั่ว) แล้วเค้าตั้งใจเลยว่าจะให้คนดูออกจากโรงด้วยความรู้สึกนี้แหละ… ภาคนี้จึงมี end credit แค่ตัวเดียวที่นาทีท้ายสุดเลย และยังเป็น end credit ที่ยังรักษาต่อยอดความสดของตอนจบนั้นไปอีก ซึ่งได้ผลมั้ย… ได้ผล…
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 8/10
33 comments
Comments are closed.