สิ้นสุดการรอคอยกันเสียทีสำหรับติ่งผู้กำกับคนดัง Zack Snyder (เจ้าของผลงาน 300, Watchmen, Sucker Punch, Man of Steel) และแฟนๆ การ์ตูน DC เพราะใน Batman v Superman: Dawn of Justice คุณจะตีตั๋วใบเดียวแต่ได้ดูฮีโร่ Batman กับ Superman พร้อมกันทั้งสองตัว (ทั้งนี้ไม่นับทีม Avengers ของ Marvel นั่นก็อีกเรื่อง)
เรื่องย่อ Batman v Superman: Dawn of Justice
ต่อจากตอนจบใน Man of Steel ที่ Superman หรือ Clark Kent จากดาว Krypton (Henry Cavill จาก Man of Steel และ The Man from U.N.C.L.E.) ต่อสู้กับ General Zod (Michael Shannon) จนดาวน์ทาวน์ Metropolis พังราบเป็นหน้ากลอง
Superman กลายเป็นฮีโร่ และในขณะเดียวกันก็เป็นซาตานตัวร้ายของผู้คน มีแต่นักข่าวสาว Lois Lane (Amy Adams จาก American Hustle, Big Eyes, Man of Steel) และ Martha Kent (Diane Lane) แม่ของเขา ที่รักเขาที่เขาเป็น Clark Kent จริงๆ ไม่ใช่ Superman
ในขณะที่หลายคนสรรเสริญ Superman เยี่ยงพระเจ้า มหาเศรษฐี Bruce Wayne หรือ Batman (Ben Affleck จาก Argo และ Gone Girl) กลับโกรธและเกลียด Superman ฝังใจ ที่พังออฟฟิศหรูของเขาล้มครืนแทบสิ้นซากพร้อมกับคนงานของเขากว่าหลายร้อยคน (คล้ายเหตุการณ์ 9/11)
แต่สุดท้ายท้ายสุด Batman & Superman รวมถึง Wonder Woman (Gal Gadot จาก Fast and Furious) ก็ต้องมาร่วมมือกันต่อกรกับปีศาจ Doomsday ที่มหาเศรษฐีหนุ่มอัจฉริยะ Lex Luthor (Jesse Eisenberg จาก The Social Network และ Now You See Me)
รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ Batman v Superman: Dawn of Justice
ในฐานะที่เราไม่ใช่ทั้งติ่งการ์ตูน DC และติ่งผู้กำกับ Zack Snyder ซึ่งเข้าไปดู Batman v Superman: Dawn of Justice อย่างไม่คาดหวังอะไร เราว่าเราได้ความบันเทิงคุ้มค่าเต็มอิ่มเลยทีเดียว โดยเฉพาะในส่วนของงานแอ็คชั่น ถึงแม้ซีนต่อสู้จะไม่ได้มีมากมาย (ใครอาจจะคาดหวังให้แบทแมนฟัดกับซูเปอร์แมนทั้งเรื่องอาจผิดหวังเบาๆ) แต่แต่ละซีนบู๊ที่ออกมา เขาก็จัดเต็ม ยิ่งใหญ่สะใจจริงๆ
เรารับประกันเลยว่า งานภาพ Visual Effect และฉากบู๊แอ็คชั่นมันล้างผลาญเมืองตามสไตล์ผู้กำกับ Zack Snyder เขาอยู่แล้ว อีกทั้งหนังยังมีเด่นที่งานดนตรีหรือซาวนด์ประกอบที่ใส่มาอย่างมีรสนิยมตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง ถึงแม้บางทีก็เยอะจนแอบคิดว่าเขาใช้ซาวนด์ฟุ่มเฟือยไปเสียหน่อย แต่โดยรวมก็ไม่ถึงกับรำคาญอะไร
แล้วงานภาพและงานเสียงระดับเบอร์นี้ แนะนำดูโรง IMAX 3D คือจะเห็นภาพยักษ์ใหญ่สเกลสะใจทั้งแกน X / แกน Y ตื่นตาตื่นใจ ฟินเว่อร์~ (ถ้าดูโรงทั่วไป ภาพจะไม่เต็มตามออริจินัลที่เขาถ่ายมานะเออ) และใน IMAX ที่เสียงมารอบทิศทาง ซาวนด์ยิ่งช่วยกระตุ้นอะดรีนาลีนให้หลั่งแรงตลอดเวลา ได้ฟีลยังกับเข้าไปติดขอบสนามมวย ดังนั้นถึงแม้หนังจะยาวไปนิดและช่วงแรกๆ ปูเรื่องยืดเยื้อไปบ้าง แต่เราไม่รู้สึกเบื่อเลยนะ
ในส่วนของ casting นั้น Ben Affleck นี่เป็น Batman ที่ดีเกินคาดไปมากเลยนะ คือเบื้องต้นก็เข้าใจนะว่า หลายคนอาจจะติดภาพ Christian Bale เป็น Batman (ฉบับ Christopher Nolan) แต่ถ้าหากได้ดู Batman v Superman: Dawn of Justice จริงๆ แล้วล่ะก็ เราว่าก็คงจะเปิดใจรับ Batman เวอร์ชั่นพี่ Ben Affleck ได้ไม่ยาก โดยเฉพาะฉากบู๊ที่ Batman ลุยเดี่ยวนะ โอ้โห! เท่ระเบิดระเบ้อจ้า~
ส่วน Henry Cavill ในบท Superman ใน Batman v Superman: Dawn of Justice นี้ เบื้องต้นก็ยังหล่อเหมือนเดิม แต่แอบรำคาญเบาๆ ในความรักเมีย (Amy Adams) เกินมนุษย์มนาไปเสียหน่อย
แล้วบท Lois Lane ของ Amy Adams นี่ก็ดูวิ่งไปวิ่งมา และวิ่งไปหาปัญหาตลอดศก คือไม่รู้นางกลัวสามีทำงานจนลืมเมียหรือกระไรอันนี้ก็มิทราบ ทั้งเรื่องชอบนางแค่ตอนนางพูดว่า “I’m not a lady. I’m a journalist.” แค่นั้น จบ.
ตัวละครที่เราประทับใจที่สุดในเรื่องคือ Wonder Woman สวยเท่และสตรองมาก ฉากต่อสู้กับอสุรกาย Doomsday ในองก์ที่สามนั้น นางแทบจะเด่นกลบรัศมีพี่แบทแมนกับพี่ซูเปอร์แมนสนิทเลยนะจะบอกให้ (แล้วปีหน้า นางวันเดอร์วูแมนจะมีหนังเดี่ยวเป็นของตนเองแล้วด้วย รอชมๆๆ)
นอกจากนี้ Jesse Eisenberg ก็เล่นเป็นตัวร้ายที่ล้นได้ใจ ชอบเวลานางพูดรัวๆ มันเหมือนคาแรกเตอร์ Lex Luthor ในเรื่องนี้เหมือนเขาเอาตอนเป็นเนิร์ด Mark Zuckerberg ใน The Social Network ผสมกับเป็น Joker จิตๆ กวนๆ (แบบ Heath Ledger) ใน The Dark Knight
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เราโอเคที่ตัวละครทุกตัวดูมี background story และมีพลังแห่งความสตรองเป็นของตัวเอง ในขณะเดียวกันทุกความแข็งแกร่งก็ล้วนมีจุดอ่อนเป็นของตนเอง
เช่น Superman นี่ชัดเจนอยู่แล้วว่ามีพลังวิเศษเหนือมนุษย์ X-Men ตามประสาสิ่งมีชีวิตจากดาว Krypton จนไม่ต้องพึ่งอาวุธแต่ใดๆ และใช้พลังดังกล่าวช่วยเหลือผู้คน อาจมีจุดอ่อนก็ตรงความรัก (เออ จริงๆ เขาโคตรมนุษย์เลยเหมือนกันเนอะ)
บางครั้งการเป็นฮีโร่ของเขาก็เป็นดาบสองคม มองมุมนึงเขาก็เป็นเทวดา แต่มองมุมกลับเขาก็อาจเป็นซาตาน กล่าวคือ ในขณะที่เขากำลังโฟกัสกับการช่วยชีวิตคนคนหนึ่ง เขาก็ลืมใช้ตาวิเศษมองไปว่ายังมีอีกหลายร้อยชีวิตที่ต้องสูญเสีย ทั้งชีวิตและทรัพย์สิน จากความเป็นฮีโร่ของเขา เป็นต้น
ส่วน Batman เป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีปมจากการจากไปของพ่อแม่ แต่เขาก็ฝึกสกิลการต่อสู้จนโตมากล้าแกร่งเอง ที่สำคัญคือด้วยความที่มีพื้นฐานชีวิตดี บ้านมีกะตังค์ และฉลาดพอที่จะคิดค้นอาวุธหรูๆ เองได้แบบ Iron Man
ในฐานะฮีโร่ หนังวาง Batman เป็นรัตติกาล เป็นความมืดดำ เป็นเหมือนปีศาจร้ายใส่หน้ากากที่ผู้คนหวาดกลัว มากกว่าจะเป็นฮีโร่แห่ง Gotham City แบบที่วาง Superman เป็นเสมือนรุ่งอรุณ เป็นแสงสว่าง เป็นเหมือนพระเจ้ามาโปรด จึงไม่แปลกที่ Batman จะเกลียด โกรธ และ (ลึกๆ) ก็กลัวในพลังอำนาจของ Superman
ในทางกลับกัน พอเป็นปุถุชนคนธรรมดา Batman เป็นมหาเศรษฐี Bruce Wayne ที่ใครๆ ก็นับหน้าถือตาและให้ความสนใจ ในขณะที่ Superman เป็นแค่ Clark Kent ลูกชาวไร่ที่ไม่มีใครสนใจและนักข่าวระดับล่างที่ถูกเจ้านายกดขี่กร่นด่าไม่เว้นแต่ละวัน มีแต่แฟนและแม่ของเขาที่รักเขาอย่างที่เขาเป็น Clark Kent… เป็นคนรัก… เป็นลูก… (ไม่ใช่ฮีโร่ พระเจ้า หรือเอเลี่ยน)
ดังนั้น เราว่าประเด็นหลักๆ ที่สำคัญของหนัง Batman v Superman: Dawn of Justice ประเด็นแรกคือ “การตัดสิน” อย่างที่กล่าวมาข้างต้น คนเราตัดสินสิ่งต่างๆ ต่างกัน ขึ้นอยู่กับไม้บรรทัดที่เขาใช้ หรือสิ่งที่เขา value มัน กล่าวคือ ถ้าเขาให้คุณค่ากับเงินทอง เขาก็จะอวยคนรวย (เวรี่ทุนนิยม) หรือถ้าเขาให้คุณค่ากับผลประโยชน์ส่วนตัว เขาก็จะอยู่ข้างใครก็ได้ที่ช่วยเหลือหรือให้ผลประโยชน์กับเขา
เช่น อย่างที่ Senator Finch (Holly Hunter) ยกย่องระบบการตัดสินพิพากษาแบบประชาธิปไตย ยึดถือความถูกต้อง และไม่เห็นด้วยกับการตัดสินพิพากษาหรือการจัดการลงโทษอันรุนแรงที่ฮีโร่ทั้งสองกระทำต่ออาชญากร เพราะมันตรงข้ามกับแนวคิดที่เธอเชื่อว่า “Democracy is a conversation.” และประชาธิปไตยคือความยุติธรรมที่แท้จริงสำหรับทั้งฝ่ายเหยื่อและฝ่ายผู้ร้าย
นอกจากนี้ ยังมีตัวละคร Lex Luthor ที่มีความคล้าย Bruce Wayne หรือ Batman ในส่วนที่บ้านรวยล้นฟ้า แถมยังฉลาดมาก ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยผลิตคิดค้นอาวุธเองได้ แต่ Lex Luthor ต่างกับ Bruce Wayne ตรงที่ว่า เขาใช้พลังอำนาจของเงินตรากับสติปัญญาของเขาไปในทางที่ผิด
ดังนั้น ประเด็นหลักๆ ประเด็นที่สองที่หนัง Batman v Superman: Dawn of Justice ต้องการจะสื่อ นอกจากเรื่องการตัดสิน คือ “ความรับผิดชอบต่อพลังอำนาจ” ซึ่งผิวๆ ก็คล้ายกับ Spider-Man ที่ลุงเบนแกกล่าวว่า With great power comes great responsibility. นั่นแล กล่าวคือ ไม่ว่าจะมีเงิน มีสมอง มียศตำแหน่ง หรือมีพลังวิเศษ ก็ควรใช้มันในทางที่ถูกที่ควรและเกิดประโยชน์สูงสุด
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากหนังต้องการเล่าสตอรี่และใส่มิติให้ตัวละครทุกตัวเท่าๆ กันทุกตัว จึงทำให้เส้นเรื่องเยอะแยะตาแป๊ะไก่ไปหมด และทำให้หลายดีเทลมันไม่ค่อยเมคเซนส์ไปบ้าง ซึ่งนักวิจารณ์หลายคนก็โจมตีตรงจุดนี้ชนิดสับเละไม่มีชิ้นดี
สำหรับเรา เราก็ไม่เถียงเรื่องบทอ่อนนะ แต่เราก็ไม่รู้สึกหงุดหงิดเท่ากับบทหนังบู๊เรื่องอื่นๆ และก็ค่อนข้างเฉยๆ กับเรื่องเส้นเรื่องเยอะหรือแรงจูงใจของตัวละครเบาหวิว เพราะโดยรวมเราเข้าใจ ตามเรื่องทัน ยอมรับได้ และพยายามโฟกัสที่สารที่หนังต้องการจะสื่อมากกว่า ซึ่งเราก็โอเคกับเนื้อเรื่องมันนะ
คืออย่างที่บอก เราไม่ใช่ติ่งการ์ตูน DC และเราก็ไม่ได้คาดหวังให้บทหนังของ Zack Snyder มันล้ำลึกหรือ โอ้! ว้าว! แบบของ Christopher Nolan เขาอยู่แล้วด้วยแหละ ก่อนไปดู Batman v Superman: Dawn of Justice นี่ก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่เอาไปเปรียบเทียบกับ The Dark Knight และไม่เอาไปเปรียบเทียบกับหนังฮีโร่ Marvel ซึ่งมักจะมีความตลก ไม่เหมือนของ DC ที่ค่อนไปทางดาร์คๆ หม่นๆ
ถึงแม้ Batman v Superman: Dawn of Justice จะไม่อารมณ์ขันเท่าหนังฮีโร่ Marvel (ทั้งเรื่องมีมุกตลกแค่ประมาณ 3 มุกเองมั้ง แถมโผล่มาไม่ค่อยถูกจังหวะสักเท่าไหร่ คือดูพยายามตลก ประมาณนั้น) แต่ฉากบู๊ในเรื่องนี้ Zack Snyder เขาก็ทำออกมาสนุกและตอบโจทย์ความบันเทิงตามสไตล์หนังแอ็คชั่นบล็อกบัสเตอร์แล้วแหละ ก็ไม่รู้จะไปคาดหวังอะไรอีกทำไม
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 8/10 และรอดู The Justice League (ภาคต่อ) แน่นอน!
ป.ล. หนังยาว 151 นาที จบแล้วลุกออกได้เลย ไม่ต้องรอ end credit
Batman v Superman: Dawn of Justice (รุ่งอรุณแห่งความยุติธรรม) ฉายก่อนอเมริกา 24 มี.ค. นี้ ในโรงภาพยนตร์ ทั้งระบบ 2D และ 3D (ยังยืนยันว่าควรดูในโรง IMAX นะเออ)
111 comments