“Maybe for you, there’s a tomorrow. But for some of us, there’s only today”
Before I Fall – หนังแบบนี้เหมือนเคยดูแล้ว แต่…
ไม่กี่ปีมานี้เราเพิ่งดูหนังเรื่อง Edge of Tomorrow ที่ลุง Tom Cruise ต้องเวียนว่ายตายวนอยู่ในสนามรบไม่รู้จบสิ้น และไม่นานมานี้ก็ยังมี Miss Peregrine’s Home for Peculiar Children อีก ดังนั้นการดู Before I Fall มันจึงคล้าย ๆ ว่าเกิด déjà vu เพรามันก็มาแนวตัวเอกต้องตื่นมาใช้ชีวิตและตายวันเดิมทุกวัน ๆ เช่นกัน #วนไปค่ะ
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าดีกว่าหรือแย่กว่า ที่ Sam (Zoey Deutch จาก Dirty Grandpa) นางเอกของเรื่องไม่ได้เป็นทหารที่ต้องวนลูปในสนามรบ หรือติดอยู่ในวันสงครามโลกระเบิดลง แต่เธอเป็นแค่วัยรุ่นสาวสวยที่กำลังจบไฮสคูลที่ต้องมาติดลูปในวัน Cupid Day… วันซึ่งเธอกับแฟนหนุ่มของเธอ Rob (Kian Lawley) วางแผนกันว่าจะเปิดบริสุทธิ์เธอ
Sam เป็นหนึ่งในสมาชิกแก๊ง bitches สาวฮอตป๊อปปูลาร์ มีเพื่อนรักสามนาง ได้แก่ Lindsay (Halston Sage จาก Paper Towns), Ally (Cynthy Wu), และ Elody (Medalion Rahimi) เพียงแต่แก๊งนี้ไม่ได้มีปัญหาแย่งผู้ชายหรือแข่งชิงดีชิงเด่นกันอย่าง Lindsay Lohan กับ Rachel McAdams ใน Mean Girls
สาว ๆ แก๊ง Before I Fall มักรวมหัวกันทำตัว so mean กับคนอื่นในรร. เช่น ล้อเด็กผมฟู Juliet (Elena Kampouris) ว่าโรคจิตบ้างล่ะ ฉี่ราดบ้างล่ะ และล้อ Anna (Liv Hewson) ว่าเป็นกระทิงทอม จนถึงเมินเฉยกับ Kent (Logan Miller จาก Scouts Guide to the Zombie Apocalypse) หนุ่มเฉิ่มที่แอบชอบ Sam มาแต่เด็ก ซึ่งประเด็น bullying นี้ก็คล้ายกับซีรีส์ 13 Reasons Why ของ Netflix นั่นแล
แล้วหลังจากที่ Sam รู้ตัวว่าตัวเองตื่นวันเดิมและตายวันเดิมอยู่วันเดียวนั้น เธอก็หันมาทำอะไรที่เธออยากทำ เธอเริ่มเรียนรู้ชีวิตและใช้ชีวิต สุดท้ายเธอก็พยายามแก้ไขและทำแต่สิ่งดี ๆ ที่เธอควรทำ…
จะเห็นได้ว่าเนื้อเรื่องคาดเดาได้ไม่ยาก และไอเดียไม่ได้สดใหม่มากอะไร แต่อย่างไรเราก็ยังรู้สึกว่า Before I Fall เป็นหนังที่ดูเพลิน มีข้อคิด ชวนติดตาม และไม่น่าเบื่ออย่างที่คิด
Sisyphus
ก่อนที่จะเข้าไปถึงแก่นสารของเรื่อง สิ่งแรกที่เราต้องขอพูดถึงก่อนคือ “Sisyphus” เพราะในหนัง เราจะได้เห็นนางเอกเข้าเรียนแค่วิชา History (หรือ Literature?) คลาสนี้คลาสเดียว และอาจารย์ก็พูดแต่เรื่อง “Sisyphus” เรื่องเดิม (เช่นเดียวกับเรื่อง Paper Towns ที่ในหนังเขาก็ตั้งใจถ่ายฉากห้องเรียนเลคเชอร์เรื่อง Moby-Dick เพื่อใบ้จุดเชื่อมโยงกับพฤติกรรมของพระเอกในเรื่องนั้น)
“Sisyphus” ที่อาจารย์ใน Before I Fall พูดถึงคือ กษัตริย์กรีกที่ได้รับการขนานนามเป็น an absurd hero ด้วยชีวิตหลังการตายของเขาต้องโทษให้กลิ้งหินขึ้นภูเขาทุกวัน ดูหินกลิ้งตกกลับลงมาทุกวัน และเขาต้องกลิ้งมันกลับขึ้นไปใหม่ทุกวันไม่จบไม่สิ้น ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ describe ชีวิตของ Sam ณ ตอนนี้ได้อย่าง exactly
The Myth of Sisyphus งานเขียนของ Albert Camus ได้กล่าวไว้ว่า Sisyphus เป็นสัญลักษณ์ของชีวิตมนุษย์ที่ต้องทำอะไรซ้ำแล้วซ้ำเล่า วันแล้ววันเล่า (เช่น เบียดบีทีเอสไปทำงานวันแล้ววันเล่า สิ้นเดือนแดกมาม่าเดือนแล้วเดือนเล่า T^T)
และที่น่าเศร้ากว่านั้นคือ Sisyphus รู้ว่าสิ่งที่เขาทำมันไร้สาระ ไม่มีความหมาย แบบว่าพยายามไปแค่ไหนสุดท้ายก็สูญเปล่า หรือที่ภาษาพุทธเรียกว่า “อนัตตา” (ความว่างเปล่า ความไม่มีตัวตน ความไม่ใช่ตัวตน) แต่เขาก็จำต้องทำ ทำอะไรไม่ได้
ทั้งนี้ Albert Camus ยังกล่าวอีกว่า คนเราไม่ได้ฆ่าตัวตายเพราะยากลำบาก แต่คนเราฆ่าตัวตายเพราะรู้สึกเหมือนโลกนี้มันไร้แก่นสาร หรือรู้สึกว่ากฏแห่งกรรมมันไม่มีจริง
ความผิดพลาดของวัยรุ่น: ครอบครัว เพื่อน คนรัก และการยอมรับจากสังคม
ตามประสาสาวไฮสคูล ชีวิตประจำวันของ Sam วนเวียนอยู่ไม่กี่ที่ …บ้าน-โรงเรียน-ห้องเรียน-โรงอาหาร-บ้านเพื่อน-ปาร์ตี้-บ้าน… โดยรวมก็ซ้ำ ๆ จำเจ ถึงแม้แต่ละวันจะมีบาง details ที่แตกต่างไปบ้างก็ตาม
โดย 90% ของชีวิต Sam อยู่กับเพื่อน เพื่อนมีอิทธิพลต่อเธอมาก มีเพียงไม่ถึง 10% ที่อยู่กับครอบครัว แถมยังทำตัวไม่น่ารักกับพวกเขาอีกต่างหาก มองในแง่ดีคือ การติดอยู่ในวัฏสงสารถือเป็นโอกาสให้ Sam ได้แก้ตัว แก้ไข และเริ่มต้นใหม่กับครอบครัวของเธอ
แต่เรื่องใหญ่อีกเรื่องของสาวสังคมอย่าง Sam คือ การกลัวที่จะตายทั้งที่ยังซิง เรื่องความรักเป็นหนึ่งในเรื่องที่วัยรุ่นทำผิดพลาดกันเยอะที่สุด ไม่ว่าจะเด็กสาวที่ยอมมีเซ็กส์เพียงเพราะผู้ชายบอกว่ารัก เด็กสาวที่ชอบควงผู้ชายที่หล่อเท่สไตล์แบดกายส์ ฯลฯ
อีกเรื่องใหญ่ของสาว ๆ กลุ่ม Sam คือ จำนวนดอกกุหลาบที่จะได้รับในวันแห่งความรัก พูดอีกนัยหนึ่งคือ เธอให้ความสำคัญกับการได้รับการยอมรับจากสังคมหรือการเป็นคนที่ถูกรัก เพราะสำหรับวัยรุ่น สิ่งเหล่านั้นจะบูสต์ self-esteem ในตัวเธอ และในทางกลับกัน หากไม่ได้รับการยอมรับ ก็จะรู้สึก unhappy หรือ lack confidence หรือเบื่อโลก (เช่น ที่ตัวละคร LGBT เรียกว่านี่เขากำลังอยู่ใน “heteronormative hell”)
Sam โชคดีที่มีโอกาสทบทวนเรื่องผู้ชายของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ได้โอกาสในการปรับปรุงตัวให้ตัวเองเป็นคนรักที่ดีและเป็นคนที่ถูกรักที่เหมาะสม แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง เราไม่ได้มีวันวาเลนไทน์ในวัย 17 ขวบเป็นพันเป็นหมื่นรอบอย่าง Sam – อย่างหลายคนจึงเพิ่งบรรลุสัจธรรมนี้เอาก็ตอนโตแล้ว และได้แต่บ่นว่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ฉันน่าจะเลือกผู้ชายคนนี้ ฉันไม่น่าไปนอนกับอีตาคนนั้น บลา ๆ ๆ
แต่ย้ำก่อนว่า หัวใจของเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องความรัก หากแต่เป็นเรื่องความต้องการการยอมรับ หนังทำให้เราเห็นว่าบ่อยครั้งเราพยายาม fit in กับคนหมู่มากจนลืมความเป็นตัวเอง บางคนมัวแต่ช่วยอีกคนกดอีกคนลง หรือช่วยกัน bully คนอื่น ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราจะล้อคนอื่นไปเพื่ออะไร จะนินทาคนอื่นไปเพื่ออะไร และสุดท้าย bullying ไม่ส่งผลดีต่อใครเลย มีแต่ทำให้คนที่ถูก bullied ซึมเศร้า รู้สึกไม่อยากอยู่บนโลก จนถึงขั้นฆ่าตัวตาย
ช่วงวนลูปแรก ๆ Sam ยังเพิ่งเป็นบัวปริ่มน้ำ คือทำตัวไม่เหมือนเดิมนะ แต่เป็นในเชิงแบบอยู่เฉย ๆ ดูเพื่อน bully คนอื่น โดยไม่ทำอะไรเลย ปล่อยเพื่อนเป็นบัวใต้น้ำ ทำผิดซ้ำ ๆ อยู่นั่นต่อไป ซึ่งหากใครดู 13 Reasons Why แล้วคงจะเข้าใจดีว่า doing nothing ก็เป็นการทำร้ายหรือฆ่าคนคนนั้นด้วยทางหนึ่ง
จากหนัง เราจะได้บรรลุธรรมหนึ่งข้อว่า ถ้าจะปลดแอกตัวเองออกจากวัฏสงสารได้ หรืออย่างน้อยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง การเปลี่ยนแปลงแค่สิ่งที่ตัวเราเองทำคนเดียวมันไม่พอ เราต้องเปลี่ยนสิ่งรอบข้าง เปลี่ยนการมองโลกรอบตัวของเรา หรืออย่างน้อยที่สุด ในฐานะเพื่อน เราก็ต้องเตือนเพื่อนหากเพื่อนทำไม่ถูกไม่ควร
แม้บางครั้งการพูดต่อหน้าหรือด่าตรง ๆ มันอาจหักหาญความรู้สึกหรือทำลายความสัมพันธ์ฉันเพื่อน เราจึงต้องหาวิธีที่เหมาะสมที่จะบอกเพื่อน โดยให้วิธีนั้นอยู่บนพื้นฐานของความรักและความเข้าใจ จำไว้ว่า ไม่ว่าอย่างไร คำพูดหรือการกระทำในเชิงบวกย่อมมีอิมแพคก่อให้เกิดผลลัพธ์ดี ๆ มากกว่าอยู่แล้ว
Sam เข้าใจข้อผิดพลาดทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ว่าจะเรื่องครอบครัว เพื่อน หรือคนรัก เพราะเธอต้องติดอยู่ในวันเดิม ๆ กว่าหลายสิบรอบ และมีเวลาทบทวนเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ นับครั้งไม่ถ้วน แต่พวกเราไม่จำเป็นต้องเกิดใหม่ซ้ำซากหรือมีเวลาวันนี้เยอะ ๆ แบบ Sam เพื่อเข้าใจและแก้ไขเรื่องวันนี้ก็ได้
ชีวิตเรามันสั้น แต่พวกเราไม่เหมือน Sam ตรงที่อย่างน้อยพวกเราก็ยังมีวันพรุ่งนี้… ทำดีต่อคนรอบข้างเข้าไว้ และ appreciate กับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวให้มากที่สุด ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่าวันนี้… เพื่อที่อย่างน้อย… วันที่เราตายเราจะได้เห็นแต่เรื่องดี ๆ และคนอื่นที่ยังอยู่… ก็จะได้พูดถึงเราแต่เรื่องดี ๆ …
41 comments
Comments are closed.