BIG HERO 6 ภาพยนตร์แอนิเมชั่นยอดเยี่ยม แห่งเวที OSCARS 2015
เนื่องจากได้ตั๋วชม Big Hero 6 รอบ Thailand Gala Premiere เมื่อ 26 พ.ย. ที่ผ่านมา เราจึงมีโอกาสได้ไปชมหนังดีๆ ก่อนการเข้าฉายปกติ และพอออกโรงปุ๊บ ก็มีความรู้สึกประทับใจมาก อยากเขียนรีวิวเชียร์ให้เพื่อนๆ ไปดูเจ้าหุ่น Baymax ตามเรากันเร็วๆ เยอะๆ
คิดว่าหลายคนคงเคยเห็นเจ้าหุ่น Baymax หรือสื่อเกี่ยวกับ Big Hero 6 ผ่านหูผ่านตากันมาแล้วบ้าง เพราะ Big Hero 6 เป็นหนังระดับยักษ์ใหญ่ เป็นแอนิเมชั่นเรื่องล่าสุดของดิสนีย์ที่สร้างจากการ์ตูนซุปเปอร์ฮีโร่ของมาร์เวลโดยทีมผู้สร้าง Tangled, Wreck It Ralph, และ Frozen พูดเลยว่า แฟนๆ หนัง Disney และหนัง Marvel ไม่ควรพลาดชมด้วยประการทั้งปวง
คำเตือน ถ้าในโรงหนังเปิดเรื่องมาเจอเจ้า Winston สุนัขพันธุ์ Boston terrier ที่รักการกินเป็นชีวิตจิตใจ (แต่ก็รักเจ้าของมากกว่า) วิ่งไปกินไปอยู่บนหน้าจอเป็นเวลาเกือบ 6 นาที คุณไม่ต้องตกใจว่าตัวเองจะเดินเข้าโรงผิดหรือเปล่า เพราะนั่นคือการ์ตูนของแถมจาก Disney ชื่อเรื่องว่า Feast นั่นเอง
ส่วน Big Hero 6 เป็นหนังแนวซุปเปอร์ฮีโร่สไตล์ The Avengers ของ Marvel แต่ไม่บู๊ล้างผลาญและบ้าพลังทำลายล้างเมืองขนาดนั้น
เรื่องย่อ Big Hero 6 (ไม่สปอยล์)
ตัวละครหลักของเรื่อง คือเด็กหนุ่มชื่อ Hiro ที่อายุแค่ 14 ปี แต่เป็นเด็กอัจฉริยะ เรียนจบไฮสคูลตั้งแต่อายุ 13 ปี มีพรสวรรค์ในการประดิษฐ์หุ่นยนต์ (เหมือน Tony Stark ใน Iron Man) ทั้งยังมีความฝักใฝ่ในการพนันแข่งโรบอต หรือ Bot Fight (คล้ายๆ การชนไก่ หรือการแข่งโรบอตในเรื่อง Real Steel) ตามประสาเด็กวัยรุ่นวัยคะนอง
วันนึง Tadashi พี่ชายที่แสนดี พา Hiro ไปเที่ยวชมแล็บของเขาที่ “Nerd School” และแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนๆ ได้แก่ Go Go Tomago สาวฮาร์ดคอร์, Honey Lemon สาวหวานฟรุ้งฟริ้ง, Wasabi หนุ่มผิวสีหัวเดดร็อค, และ Fred หนุ่มตลกที่มีพ่อเป็นถึงบุคคลในตำนาน นั่นก็คือ Stan Lee ชายสูงวัยผู้ที่ไปโผล่ในหนังทุกเรื่องของ Marvel !!! (ลากแถบดำ เพื่อดูข้อความที่สปอยล์) แล้วตั้งแต่นั้น ทัศนคติที่ Hiro เคยมีกับ “Nerd School” ก็เปลี่ยนไป และเกิด passion อยากเข้ามาเรียนที่นี่กับพี่ชายให้ได้
การเข้าเรียนที่ “Nerd School” ไม่ใช่การสอบ TOEFL/GRE/GMAT และเขียน SOP นั่งเล่าประสบการณ์ชีวิตของตัวเองให้ได้ใจคณาจารย์ แต่ผู้สมัครต้องประดิษฐ์นวัตกรรมใหม่ๆ มาแสดงในงานโชว์เคส แล้วกรรมการจะให้คะแนนสดๆ ว่าผ่านไม่ผ่าน โดยผลงานที่ Hiro นำไปพรีเซนต์คือไมโครโรบอต หุ่นยนต์ขนาดจิ๋วที่สามารถแปรสภาพเป็นอะไรก็ได้ผ่านการควบคุมด้วยมโนภาพหรือจินตนาการในสมองของคน
ผลคือ Hiro ชนะใจ Prof. Callaghan และได้เข้าเรียน “Nerd School” ในขณะเดียวกันไมโครโรบอตของ Hiro ยังเป็นที่สนใจของนายทุนอุตสาหกรรมรายใหญ่อย่าง Alistair Krei ด้วย แต่ Hiro ไม่ยอมขายผลงานให้เขา
หลังงานโชว์เคส ห้องจัดแสดงถูกไฟไหม้ ทำให้ไมโครโรบอตของ Hiro ถูกเพลิงวอดวายไปหมด พร้อมๆ กับชีวิตของ Prof. Callaghan และ Tadashi การจากไปของพี่ชายทำให้ Hiro หมดแรงบันดาลใจในการทำหุ่นยนต์ต่อไป เขาไม่ไปลงทะเบียนเรียน และเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องอยู่หลายอาทิตย์
จนกระทั่งวันหนึ่ง Baymax หุ่นยนต์สีขาวตัวใหญ่ขนาดสิบฟุตที่มีรูปร่างเหมือนขนม marshmallow ผสมกับตัวมาสคอต Michelin พองออกมาจากกล่องข้างเตียงของ Tadashi (Baymax จะปฏิบัติการอัตโนมัติ เมื่อมีคนร้อง “โอ๊ย!” หรือ “Ow!”) จึงทำให้ Hiro กลับมามีชีวิตที่เป็นชีวิตอีกครั้ง
Baymax เป็นโปรเจ็กต์ของ Tadashi ที่มีความสามารถในการดูแลสุขภาพคน และเป็นเสมือนตัวแทนพี่ชายของ Hiro เพราะ Baymax ดูแล Hiro ดีมาก เหมือนที่ Tadshi เคยดูแล Hiro เสมอมาตั้งแต่พ่อแม่จากไป
โดยความสัมพันธ์ระหว่าง Hiro กับ Baymax ค่อยๆ พัฒนาขึ้นเป็นมิตรภาพเหมือนโนบิตะกับโดเรมอน และ Hiccup กับ Toothless ในเรื่อง How to Train Your Dragon ซึ่งความสัมพันธ์ของทั้งสองถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของที่สุดในหนังเรื่องนี้เลยก็ว่าได้
แต่ประเด็นของเรื่องไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ของตัวเอกเท่านั้น (ถึงแม้ความน่ารักของ Baymax จะขโมยซีนมากก็เถอะ) ในหนังฮีโร่ย่อมมีผู้ร้ายอย่างน้อย 1 คนหรือ 1 ตัว โดยตัวร้ายใน Big Hero 6 เป็นชายในหน้ากากคาบูกิ ผู้ขโมยผลงานไมโครโรบอตของ Hiro ไปในคืนที่ไฟไหม้ (เรานึกถึงหน้ากากในหนังเรื่อง V for Vendetta และท่าทางการคอนโทรลไมโครโรบอตของตัวร้ายนี่ก็ทำให้นึกถึง Magneto ใน X-Men มากๆ)
Hiro แอนด์เดอะแก๊ง รวมถึง Baymax จึงต้องพยายามหยุดชายผู้สวมหน้ากากคนนั้นให้ได้ก่อนที่ไมโครโรบอตจะถูกชายคนนี้เอามันไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง
รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ Big Hero 6 (ไม่สปอยล์)
ประเด็นแรกที่ต้องขอกล่าวถึงคือชื่อเรื่องของหนัง หลายคนอาจจะสับสนว่า Big Hero 6 คือหนังภาคที่ 6 ของหนังชื่อ Big Hero (หรือหนังฮีโร่สักเรื่อง) แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น ความจริงคือ Big Hero 6 เป็นเป็นเรื่องราวของกลุ่มฮีโร่ 6 คน (จริงๆ ต้องพูดว่า 5 คน กับ 1 ตัว ถึงจะถูก) จึงชื่อว่า Big Hero 6
โดยฮีโร่ทั้งหกมีความหลากหลายทางสปีชีส์ (คน-หุ่นยนต์), ชาติพันธุ์ (ผิวขาว-ผิวสี), และเพศ (ชาย-หญิง-เพศที่สาม (มั้ง)) ซึ่ง “ความหลากหลาย” ดังกล่าวเป็นประเด็นที่น่าสนใจ
…แต่ถ้าถามว่า “แล้วทำไมไม่ชื่อ 6 Big Heroes” อันนี้ก็คงต้องไปถาม Disney หรือ Marvel กันเองนะจ๊ะ…
Big Hero 6 เป็นหนังเด็กที่ทันสมัยและมีความวัยรุ่นสูง สังเกตได้จาก pop-culture และวลีทีนเอจที่ตัวละครใช้ในเรื่อง เช่น การเอากำปั้นมาชนกันแล้วบูมวู้ๆ (เหมือนที่หนุ่ม Moose ชอบทำในเรื่อง Step Up) เป็นต้น
ที่สำคัญภาพ animation สวยงาม ละเอียด และมีชีวิตชีวาสมจริงมากๆ เราดูไปยังรู้สึกสับสนเลย นึกว่าตัวเองกำลังดูหนังจริง ที่ใช้ฉากจริงและคนจริงแสดงอยู่ยังไงยังงั้น การดำเนินเรื่องก็ฉับไว สนุก
ดังนั้นแอนิเมชั่นเรื่องนี้จึงป็นหนังการ์ตูนดิสนีย์ที่เด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดี โดนใจ และไม่น่าเบื่อ ตั้งแต่กลุ่ม Gen-Z, Gen-Y ยัน Gen-X
อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวมองว่า ไม่ว่าจะใช้ชื่อว่า Big Hero 6 หรือ 6 Big Heroes ก็ยังตะขิดตะขวงอยู่ดี เพราะความเด่นของหนังไม่ได้พุ่งไปที่ความเป็นฮีโร่ของแก๊งฮีโร่เหมือนอย่างหนังเรื่อง The Avengers แต่พระเอกของเรื่องจริงๆ คือ Baymax นั่นเอง
โดยช่วงครึ่งแรกของเรื่องนั้น ความน่ารักและความจริงใจใสซื่อของ Baymax จะทำให้เรายิ้มและหัวเราะท้องแข็งได้ทุกนาที อันนี้เรารับประกันว่า ไม่ว่าจะเป็นคอการ์ตูนหรือไม่คอการ์ตูน คุณจะไม่ผิดหวังกับเจ้า Baymax อย่างแน่นอน
Baymax นี้ เป็นหุ่นยนต์ที่ทีมงานดิสนีย์ได้รับแรงบันดาลใจจากการเดินของเพนกวินกับเด็กน้อยวัยหัดเดิน ส่วนหัวก็ได้รับแรงบันดาลใจจากกระดิ่ง (ที่คล้องคอหมาแมว เป็นต้น) และการออกแบบโดยรวมก็มีต้นแบบ 3D ของหุ่นยนต์จริงๆ ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาจากแล็บ MIT, Carnegie Mellon, และ DARPA (Read More: 8 Real-Life Robots That Inspired Big Hero 6)
ส่วนตัวละครฮีโร่อื่นๆ ถึงแม้จะเหมือนเป็นตัวประกอบไปหน่อย แต่เราก็ชอบที่สไตล์ของเครื่องแต่งกายหรือคอสตูมของแต่ละตัวเขาคงคอนเซ็ปต์บุคลิกและความเป็นตัวของตัวเองของคนคนนั้นเอาไว้ เช่น GoGo ก็จะเป็นมาดลุยๆ เท่ๆ และ Honey Lemon ก็จะแนวหวานๆ แบ๊วๆ
ซึ่งเราว่ามันเป็นความพิเศษที่หนังจะสื่อว่า จงยึดมั่นในการเป็นและทำในสิ่งที่ตัวเองอยากเป็นและอยากทำเสมอ เพราะเราทุกคนมีสิทธิและมีความสามารถที่จะเป็นอะไรก็ตามที่เราอยากเป็น แม้ว่าเราจะเป็นผู้หญิง แต่เราก็มีสิทธิเก่งกล้าไม่น้อยไปกว่าผู้ชายนะจ๊ะ (ฮั่นแน่ แอบ feminism)
นอกจากนี้ฉากเด่นฉากหนึ่งในเรื่อง มีฉากสะพาน Golden Gate เช่นเดียวกับหนังซุปเปอร์ฮีโร่เรื่องอื่นๆ ตามสูตรสำเร็จ แต่สะพาน Golden Gate ของ Big Hero 6 แตกต่างออกไป ตรงที่สถาปัตยกรรมโครงสร้างของสะพานมีการประยุกต์ใหม่กับสถาปัตยกรรมวัดของญี่ปุ่น
ทั้งนี้เพราะในการ์ตูนจริงๆ โลเกชั่นอยู่ที่กรุงโตเกียว แต่ทางดิสนีย์ดัดแปลงใหม่ให้โลเกชั่นของหนัง Big Hero 6 อยู่ที่เมือง “San Fransokyo” ซึ่งจะเป็นเมือง hybrid city ในอนาคต เกิดจากการผสมผสานความเป็นเมืองตามแบบตะวันตกกับตะวันออก (east-meets-west city) ระหว่างเมือง San Francisco ของอเมริกากับเมือง Tokyo ของญี่ปุ่น (Look More – Take a Tour to the City: San Fransokyo กับดิสนีย์)
และเมือง San Fransokyo นี้ก็ถือเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่โดดเด่นที่สุดของหนังอีกเช่นกัน
Big Hero 6 เป็นหนังการ์ตูนแอนิเมชั่นที่ดีที่สุดและประทับใจที่สุดในรอบหลายปีที่เราดูมา ชอบมากกว่า Frozen ด้วยซ้ำ เจ้าหญิง Elsa ที่เราว่าชอบแล้ว เราชอบ Baymax มากกว่า ความสัมพันธ์พี่น้องใน Frozen ที่ว่าซึ้งแล้ว ความสัมพันธ์ในเรื่อง Big Hero 6 นี้ ซึ้งยิ่งกว่า!
โดยรวมเราแนะนำ Big Hero 6 มากถึงมากที่สุด ประทับใจหลายฉากมาก ให้ไปดู Baymax ซ้ำก็จะดู เพราะชอบมากๆ ในระดับที่เต็ม 10 ก็อยากจะให้ 10 สำหรับหนังแอนิเมชั่นเรื่องนึงจะทำได้ (แต่อาจหักคะแนนนิดหน่อย โทษฐานที่พี่ชายพระเอกหล่อเกินไป อุดมคติเกินไป และยังตายเร็วอีก T____T)
ถ้าจะให้เราหาข้อติติงให้หนัง Big Hero 6 ก็คงเป็นประเด็นพล็อตทวิสต์หรือการหักมุมที่คาดเดาได้ง่าย แต่จริงๆ แล้ว Big Hero 6 เป็นหนังการ์ตูนสำหรับเด็กโลกสวย แทบไร้ซึ่งเนื้อหาความรุนแรงและความผิดหวังในเนื้อเรื่อง ดังนั้นมันเป็นเรื่องปกติแล้วที่เรื่องจะง่ายๆ เบาๆ เพราะถ้าคนดูอยากคิดเยอะๆ เขาก็ควรตีตั๋วไปดู Interstellar แทน
อย่างไรก็ดี Big Hero 6 ก็ยังแฝงข้อคิดสอนใจเด็กๆ (และสอนผู้ใหญ่อย่างเราๆ ด้วย) ว่า ทุกๆ การแข่งขันหรือการต่อสู้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสติปัญญา มิตรภาพ ทีมเวิร์ค และจิตใจที่ดีงามอย่างแท้จริง
Highly Recommend! ถ้าสอบไฟนอลเสร็จแล้ว พาเพื่อนสนิทมิตรสหายหรือเด็กๆ ของคุณ (ถ้ามี) ไปดู Big Hero 6 และ #HugBaymax กันเถอะ เรารับรองความสนุกครบรส ความน่ารัก และความอบอุ่นของหนังตลอด 102 นาทีฉายแล้วรอบ Sneak Preview ตั้งแต่ 27 พ.ย. และฉายจริงปกติ 4 ธ.ค. 2557 นี้จ้า
ป.ล. ตามสไตล์ Marvel อีกนั่นแหละ แนะนำให้ทุกคนรอดู End Credit รับรองถูกใจแฟนๆ และสาวกหนัง Marvel ชัวร์ป้าด :D
“On a scale of one to ten, how would you rate this movie?“
29 comments