Birdman (The Unexpected Virtue of Ignorance) (ชื่อไทย: มายาดาว) เข้าชิง Golden Globes 2015 ถึง 7 สาขา และคว้ามา 1 รางวัล ดังนี้
- Best Motion Picture — Comedy
- Best Actor — Comedy or Musical: Michael Keaton (ได้รางวัล)
- Best Supporting Actor: Edward Norton
- Best Supporting Actress: Emma Stone
- Best Director: Alejandro González Iñárritu
- Best Screenplay
- Best Original Score
เวทีต่อมา SAG Awards 2015 Birdman ก็ได้เข้าชิงอีก 4 สาขาใหญ่ๆ และคว้ารางวัลใหญ่ที่สุดมา 1 รางวัล ดังนี้
- Performance By a Cast in a Motion Picture (ได้รางวัล)
- Performance By a Male Actor in a Leading Role: Michael Keaton
- Performance By a Male Actor in a Supporting Role: Edward Norton
- Performance By a Female Actor in a Supporting Role: Emma Stone
ส่วนบทเวทีออสการ์ ล่าสุด Birdman ก็เข้าชิงถึง 9 สาขา และได้สูงสุด 4 ด้วยกัน (สูงสุดเท่ากับ The Grand Budapest Hotel) ได้แก่
- Best Picture (ได้รางวัล!)
- Best Actor: Michael Keaton
- Best Supporting Actor: Edward Norton
- Best Supporting Actress: Emma Stone
- Best Cinematography (ได้รางวัล!)
- Best Director: Alejandro González Iñárritu (ได้รางวัล!)
- Best Original Screenplay (ได้รางวัล!)
- Best Sound Editing
- Best Sound Mixing
เรื่องย่อ Birdman (มายาดาว)
Birdman (The Unexpected Virtue of Ignorance) ไม่ใช่เรื่องของซูเปอร์ฮีโร่ แต่เป็นเรื่องของพ่อ สามี พาร์ทเนอร์ และนักแสดงคนหนึ่ง…
Riggan Thomson (Michael Keaton จาก Batman และ Batman Returns) อดีตนักแสดงชื่อดังที่เคยประสบความสำเร็จกับบทซูเปอร์ฮีโร่ “Birdman” เมื่อ 20 ปีก่อน แต่ปัจจุบันเขาเป็นแค่ “มนุษย์นกตกอับ” ต้องพยายามกอบกู้ชื่อเสียงเงินทองของเขาอีกครั้ง โดยการร่วมกับ Jake ทนายเพื่อนรัก (Zach Galifianakis จาก The Hangover) ทำละครบรอดเวย์ที่โรงละคร St. James กลางใจมหานครนิวยอร์ก
Riggan กับ Jake ประเดิมละครเวทีเรื่องแรกด้วยเรื่องสั้นอเมริกัน “What We Talk About When We Talk About Love” ซึ่งเป็นบทประพันธ์ของ Raymond Carver โดย Riggan ดำเนินการจัดหาทุน พีอาร์ ดัดแปลงเขียนบท กำกับ และแสดงเองอย่างครบวงจร
ก่อนการแสดงรอบแรกเพียงไม่กี่ชั่วยาม Riggan ไม่พอใจ Ralph (Jeremy Shamos) นักแสดงคนเก่าที่รับบทเป็น Nick และจัดการกำจัดเขาออกไป นางเอกสาว Lesley (Naomi Watts จาก King Kong, The Impossible, Diana) จึงพา Mike Shiner (Edward Norton จาก American History X, Fight Club, The Incredible Hulk, The Grand Budapest Hotel ฯลฯ) แฟนหนุ่มหล่อซึ่งเป็นนักแสดงสุดฮอต มาเสียบบท Nick แทน Ralph ซึ่ง Mike ถือเป็นทั้งโชคดีและโชคร้ายของเขาเลยก็ว่าได้
นอกจากปัญหาทางการงานกับเพื่อนร่วมงานแล้ว ด้านชีวิตครอบครัวของ Riggan ก็ไม่ค่อยราบรื่น เขาหย่าร้างกับภรรยาคนสวย Sylvia (Amy Ryan จาก Gone Baby Gone) ตั้งแต่หลายปีก่อน ลูกสาวคนเดียวของเขา Sam (Emma Stone จาก Easy A, The Help, The Amazing Spider-Man) ก็เป็นเด็กขี้ยา แต่ Sam ก็อาศัยและทำงานอยู่กับเขาในฐานะผู้ช่วยส่วนตัว ในขณะเดียวกัน Riggan ก็แอบกิ๊กกับ Laura (Andrea Riseborough จาก Oblivion) นักแสดงสาวในสังกัดด้วย
รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ Birdman (มายาดาว)
1. Overall
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า ถึงแม้ “Birdman มายาดาว” จะเป็นหนังดี ระดับ 5 ดาว ได้เข้าชิงตุ๊กตาทองถึง 9 สาขา (ซึ่งคว้ามาสูงสุด 4 สาขา) และกวาดรางวัลมาหลายต่อหลายเวที แต่ Birdman ก็ไม่ใช่หนังที่เหมาะกับผู้ชมทุกคน
โดยพื้นฐาน Birdman น่าจะเป็นหนังที่เหมาะกับคนที่รักหนังจริงๆ มากกว่า เช่น นักดูหนังตัวยง คนทำหนัง นักแสดงในวงการ หรือนักวิจงวิจารณ์หนังทั้งหลาย (หรือไม่ อย่างน้อยที่สุด ก็เคยดู Batman กับ Batman Returns เวอร์ชันที่ Michael Keaton เล่นมาบ้าง) เพราะแก่นหนังเขาคือเน้นจิกกัดและเสียดสีวงการและดาราฮอลลีวูด คนในกลุ่มข้างต้นจะรู้สึก “touching” กว่าคนทั่วไป
ในทางกลับกัน ถ้าหากคุณเป็นคนทั่วไปที่ไม่ค่อยอินหรือไม่ค่อยมีแบคกราวนด์ความรู้เกี่ยวกับแวดวงฮอลลีวูด คุณอาจจะเข้าไม่ถึงหรือไม่ “enjoy” กับหนังเรื่องนี้เท่าไหร่นัก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราไม่ได้หมายความว่าคุณจะดูหนังเรื่องนี้ไม่ได้เลย เพราะ Birdman ก็ยังพอดูเอาบันเทิงได้ เป็นหนัง Black Dramady ตัวผู้กำกับฯ เขาเล่นท่ายาก แนวการเล่าเรื่องแปลกใหม่น่าสนใจ บทตลกเสียดสีแสบสัน มุมกล้องเจ๋ง (มาก) และทีมนักแสดงเขาก็เล่นระดับเทพ (มาก)
ดังนั้น ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ได้สันทัดอะไรกับวงการนี้มาก แต่อยากจะอินกับหนัง Birdman แบบถึงแก่นจริงๆ เราแนะนำง่ายๆ ว่า คุณควรทำการบ้านสักนิดก่อนไปชมหรือซื้อตั๋วเดินเข้าโรง (ขนาดเราทำการบ้านไปเป๊ะแล้ว เรายังไม่เก๊ตบางมุกเลย TT) และเวลาดู ก็ต้องใจจดใจจ่อ ตั้งสติให้มากๆ เพื่อจะได้รับสารของหนังได้อย่างเต็มที่ เพราะหนังเรื่องนี้เขาไม่ “กลวง” แบบหนังซูเปอร์ฮีโร่บางเรื่องที่คุณคุ้นเคยในยุค postmodern
2. Cinematography
กิมมิค (gimmick) ที่เด่นที่สุดของ Birdman และมีหนังน้อยเรื่องที่จะเล่นเทคนิคนี้คือ การถ่ายแบบ long take หรือ oner ซึ่ง long take ของเขาส่วนใหญ่เป็นช็อตที่ถ่ายแค่ในทางแคบๆ กับห้องเล็กๆ ซะด้วยสิ ไม่รู้ถ่ายกันได้ยังไง เก่งจริงๆ แถมยังมีซาวนด์ดนตรีของกลองแจ๊ซแบบ Whiplash ประกอบ เพิ่มความน่าสนใจเข้าไปอีก และนอกจากนี้ Birdman ยังใช้เวลาตัดต่อภาพเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น (ซึ่งถือว่าสั้นมาก)
ความเก๋คือ กล้องไม่ได้เคลื่อนย้ายตามเรื่องราวหรือตัวละครในเรื่องเท่านั้น แต่มันยังมีการเคลื่อนไหวโฉบไปโฉบมาอย่างมีชีวิตชีวาราวกับ “นก” ที่กำลังโบยบิน ซึ่งเข้าคอนเซ็ปต์ของชื่อหนัง “Birdman” อย่างเก๋ๆ ทั้งยังมีการเล่นกับการเข้าออกมากกว่า 1 ประตู เหมือนกำลังเล่นกับฉากบนละครเวที แล้วนักแสดงทุกคนก็เล่นใหญ่กล้องแตกอีก ดังนั้นเรื่องกล้องหรือภาพ เราให้ 10 เต็ม 10 อย่างไม่ลังเล
ทั้งนี้ (FYI) Emmanuel Lubezki ช่างกล้องชาวเม็กซิกันของ Birdman คนนี้ เขาไม่ธรรมดามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เขาเคยได้ออสการ์จากการถ่ายหนังเรื่อง Gravity (ฉากเปิดของ Gravity ก็ล่อ long take ไป 13 นาทีเหมือนกัน) และถ้าดูจากเทคนิคอันร้ายกาจจากเรื่องนี้ของเขาแล้ว ไม่แปลกใจเลยที่ปีนี้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์อีกครั้ง พร้อมๆ กับผู้กำกับฯ สัญชาติเดียวกันเรื่องเดียวกัน Alejandro González Iñárritu ที่ได้เข้าชิงออสการ์สาขาผู้กำกับฯ ยอดเยี่ยม (แข่งกับ Richard Linklater ผู้กำกับฯ มหาถึกจาก Boyhood)
อัปเดตล่าสุด (23 ก.พ. 2015) Birdman ได้รางวัลทั้งสาขา Director และสาขา Cinematography ไปแบบสวยๆ
3. Cast and Character
สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ทำให้ Birdman ประสบความสำเร็จคือ เป็นหนังที่ดีที่มีทีมนักแสดงที่ดี (ย้ำว่าเยี่ยมทั้งทีม ไม่ใช่ทั้งเรื่องเยี่ยมอยู่แค่คนสองคน) นักแสดงทุกคนเล่นได้น่าประทับใจมาก ทั้งๆ ที่การถ่ายทำหนังแบบ long take เป็นเทคนิคที่เขาต้องใช้สกิลหนักกว่าปกติ (พลาดทีคัทที ก็ต้องกลับไปนับ 1 ใหม่) แต่พวกเขาก็ยังทำได้ดีมาก จนได้เข้าชิงรางวัลจากเวทีใหญ่ๆ ระดับโลกทั้ง 3 เวที (GOLDEN GLOBE, SAG, และ OSCARS) กันทั้ง 3 คน (ได้แก่ Michael Keaton, Edward Norton, และ Emma Stone)
วิเคราะห์เพิ่มเติม ในความคิดเห็นของเรา ถึงแม้ Edward Norton กับ Emma Stone จะมีแนวโน้มสูงมากที่จะพ่ายรางวัลนักแสดงสมทบของออสการ์ให้แก่ J.K. Simmons (จาก Whiplash) กับ Patricia Arquette (จาก Boyhood) ตามลำดับ แต่เปอร์เซ็นต์ที่ Michael Keaton จะคว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ยังสูสีกับ Eddie Redmayne (จาก The Theory of Everything) อยู่ 50/50 เลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม เราเดาว่าบท “ศาสตราจารย์ดราม่า” ของ Eddie Redmayne น่าจะวินบท “มนุษย์นกตกอับ” ของ Michael Keaton (ย้ำว่าเป็น “ความคิดเห็นส่วนตัว”)
อัปเดตล่าสุด (23 ก.พ. 2015) Birdman ก็พ่ายสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมให้แก่ The Theory of Everything ไปแล้วเรียบร้อยโรงเรียน Hawking (อิอิ #TeamEddie)
คุณ “หนังโปรตของข้าพเจ้า” เปรียบเทียบไว้ว่า บท Riggan Thomson ที่ Michael Keaton แสดงก็เหมือนๆ กับชีวิตของ Ben Affleck ดาราฮอลลีวูดที่ได้รับการยอมรับว่าเป็น “movie star” แต่ไม่ใช่ “good actor” (ในหนัง นักวิจารณ์ New York Times ที่ชื่อเจ๊ Tabitha Dickinson (Lindsay Duncan) พูดกับ Riggan Thomson ว่า “You’re not an actor, you’re a celebrity,”) จนกระทั่งเขาตัดสินใจผันตัวมาเอาดีด้านการทำงานเบื้องหลังอย่างจริงจัง กำกับหนังเรื่อง Argo เขาถึงได้รับการยอมรับในความสามารถ และยังประสบความสำเร็จอย่างเต็มขั้นบนเวทีออสการ์ปีนั้นอีกด้วย
4. Hollywood Irony
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความบังเอิญหรือตั้งใจที่นักแสดงนำของ Birdman เคยเล่นหนังซูเปอร์ฮีโร่มาแล้วทั้ง 3 คน กล่าวคือ Michael Keaton เคยเป็น Batman (เวอร์ชันก่อน Christian Bale หรือก่อนยุค Nolan), Edward Norton เคยเป็น Hulk ตัวเขียวๆ, ส่วน Emma Stone ก็เคยเป็น Gwen Stacy แฟนสาวของ Spider-Man (จริงๆ แล้ว ในชีวิตจริงก็ยังคงเป็นอยู่ lol) แล้วเนื้อหาหนัง Birdman ยังแอบแขวะหรือเหน็บแนมหนังซูเปอร์ฮีโร่ blockbuster ในปัจจุบันหลายเรื่อง อย่างเช่น Iron Man หรือ The Avengers ว่าเป็นหนังที่ไม่มีเนื้อหาสาระ มีแต่ฉากแอ็คชั่นระเบิดเมืองตู้มต้าม และขายแต่ CG
มิหนำซ้ำในไดอะล็อกของ Birdman ยังมีการเอ่ยนามซูเปอร์สตาร์ดังๆ ของหนังกระแสแบบจังๆ อีกหลายคน เช่น Woody Harrelson ที่เล่นเป็น Haymitch Abernathy ใน The Hunger Games, Michael Fassbender ใน X-Men, และ Robert Downey Jr. ใน Iron Man, หรือแม้กระทั่งนักแสดงผู้เคยรับบท Batman เช่นเดียวกับเขาอย่าง George Clooney ที่ยังคงฮอตฮิตอยู่จนถึงปัจจุบัน ทั้งๆ ที่ Batman & Robin นั้นเป็นเวอร์ชันที่ขายไม่ได้
ในยุคนี้ เรื่องรายได้หนังไม่บ่งชี้คุณภาพหนังเป็นเรื่องปกติที่พบเห็นได้แทบทุกวีคใน Box Office (แม้แต่หนังไทยก็มีหลายเรื่องที่เข้าข่ายนั้น) ต้องยอมรับว่าหนังแมสแบบกลวงๆ เป็นหนังที่เสพง่ายขายง่ายกว่าหนังปรัชญางงๆ หรือไดอะล็อกเวิ่นๆ คนจำนวนมากยังมี “รสนิยม (taste)” เลือกดูหนังเพื่อความบันเทิงเพียงอย่างเดียว หรือเลือกไปดูเพราะตัวนักแสดงที่ตนชอบ มากกว่าจะเสพศิลปะนั้นๆ อย่างแท้จริง กล่าวคือ พอดูละครหรือหนังเรื่องนึงจบ ก็ไปหากาแฟหรือขนมกิน ไม่ได้ให้ความสำคัญหรือเก็บสารจากหนังมาคิดวิเคราะห์ต่อแต่ใดใด
นอกจากนี้ จากการดูเรื่อง Birdman คนดูหลายคนคงได้เข้าใจบทบาทและความสำคัญของนักวิจารณ์หรือบล็อกเกอร์รีวิวหนัง-ละครมากขึ้น (แต่บุคคลเหล่านี้ในเมืองไทยยังไม่ทรงอิทธิพลเท่าของเมืองนอกเขา) ช็อตที่เรารู้สึกว่าตัวเองโดนตบหน้าที่สุด แน่นอนว่า เป็นซีนของนักวิจารณ์ New York Times ฉะกับพระเอกของเรา ซึ่งซีนนั้น พระเอกเขาพูดถึงนักวิจารณ์กับบล็อกเกอร์ถูกแทบทุกประการ เช่น งานของเราไม่มีต้นทุน ตั๋วก็ได้ฟรี บลาๆๆ เราจึงคิดว่า ต่อไปนี้ เวลาเขียนรีวิวอะไร เราจะพยายามใช้คำที่ “label” ผลงานของคนอื่นให้น้อยลง
แต่เราไม่ค่อยเห็นด้วย 100% กับคำกล่าวที่ว่า “นักวิจารณ์คือคนที่สร้างสรรค์ผลงานเองไม่ได้” เพราะเราเห็นนักวิจารณ์บางคนเขาก็ผลิตผลงานได้ และอีกอย่าง เราเชื่อว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไรที่แตกต่างกัน ไม่งั้นระบบนิเวศคงยากที่จะสมดุล
5. "Fame", "Popularity", and "Prestige"
นอกจากจะเสียดสีฮอลลีวูดแล้ว บทใน Birdman ของ Michael Keaton กับ Edward Norton ยังเสียดสีชีวิตจริงของพวกเขาเองอีกด้วย นั่นคือ เขาทั้งคู่ต่างก็เคยมีชื่อเสียงในวงการระดับตำนานมาก่อน โดยเฉพาะ Michael Keaton ที่เคยรับบทเด่นเป็น Batman ที่ในยุคนั้นใครๆ ก็รักเขา ใครๆ ก็จำเขาได้ (ประมาณ Robert Downey Jr. หรือ Iron Man ในปัจจุบันนี้นั่นแหละ) แต่ปัจจุบันเขาไม่ได้งานชุกหรือมีคนกรี๊ดกร๊าดอย่างแต่ก่อนแล้ว เขาจึงต้องพยายามทำทุกทางให้คนดูกลับมารักเขาอีกครั้ง โดยตัวละคร Sylvia ภรรยาของ Riggan Thomson จะเป็นตัวละครที่ทำให้เราได้รู้จักและเข้าถึงความรู้สึกของ Riggan Thomson ทั้งสองด้าน ผ่านบทสนทนาของคู่อดีตสามีภรรยา
“Do you know why? Because I’m Batman. I’m very secure in that,” Keaton told Variety
มันคงจะจริงที่สังคมปัจจุบัน เซเลบฯ ดารา นักแสดง หรือคนที่อยากมีตัวตนหรือมีความสำคัญในสังคม จำเป็นต้อง “สร้างตัวตน” หรือ “หาจุดยืน” ให้ตัวเองบนโซเชียลเน็ตเวิร์ก เช่น Twitter, Instagram หรือไม่ก็พยายามทำตัวเองให้เป็นกระแสไวรัล (Viral) บนโลกออนไลน์อย่าง YouTube เพื่อจะได้เป็นคนดังที่ประชาชนเข้าถึงได้และเป็นคนดังที่ประชาชนรู้สึกว่า “exist” อยู่จริงๆ
หนังชวนให้เราทุกคนฉุกคิดและแยกแยะให้ออกในเรื่องของความแตกต่างระหว่าง “fame”, “popularity”, กับ “prestige” ถ้าเปิดดิคฯ เราจะพบว่าคำทั้งสามคำนี้มีความหมายในภาษาไทยที่ค่อนข้างคล้ายจนจะเป็นคำคำเดียวกัน แต่ถ้าเราเข้าใจมันจริงๆ ก็จะรู้ว่าบริบทของคำมันไม่เหมือนกัน คุณค่าและความยั่งยืนของมันนั้นต่างกันมาก ดังนั้น ระวังเรื่องอีโก้ (ego) ให้ดี คนในวงการทุกคนควรแยกแยะ “fame”, “popularity”, กับ “prestige” ให้ถ่องแท้ เพื่อที่จะได้ “ไม่สำคัญตัวเอง” มากจนเกินพอดี (ผู้เสพสื่อทั้งหลายก็เช่นกัน) และพยายาม “คงความเป็นตัวของตัวเอง” ไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพราะสุดท้ายแล้ว โลกเราไม่ได้จดจำคนดังที่ “popular” หรือ “famous” หากแต่จำคนดังที่ “prestigious” ซึ่งในหนังเรื่อง Birdman นี้ เราจะเห็นภาพและเข้าใจชัดขึ้นในฉากที่พระเอกพล่ามความอัดอั้นให้ภรรยาของเขาฟัง เปรียบเทียบตัวเองกับ George Clooney จากเหตุการณ์บนเครื่องบิน หรืออีกเคสนึงคือ ในวันที่ 25 มิถุนายน 2009 คือวันที่คนทั้งโลกได้รู้ข่าว พูดถึง และจดจำว่าเป็นวันจากไปของ Michael Jackson แต่ไม่มีใครสนใจอดีตดาราเก่าอย่าง Farrah Fawcett ซึ่งถูกโรคมะเร็งคร่าชีวิตเธอไปในวันเดียวกับวันที่ The King of Pop ตาย (จนถึงจุดนี้ เราก็ยังไม่รู้ว่า Farrah Fawcett คือใคร OTL)
6. Wings of Desire
ในหนัง Riggan Thomson จะคุยกับเสียงในหัวของเขาตลอดเวลาที่เขาอยู่คนเดียว เสียงนั้นคือเสียงของ “Birdman” หรือเสียงแห่งความกิเลส ตัณหา ความทะเยอทะยาน และความปรารถนาในใจของเขานั่นแหละ
เราเชื่อว่าทุกคนก็มี “Birdman” เป็นของตัวเองอยู่ในตัวกันทั้งนั้น เช่นเดียวกับ Riggan Thomson แต่สิ่งสำคัญก็คือ เราจะต้อง “balance” และ “control” มันให้ได้ ถ้าเราทำได้ล่ะก็… “Birdman” นั้นจะกลายเป็น “ปีก” ที่แข็งกล้า พาเราขับเคลื่อนไปข้างหน้าและโลดแล่นบนเส้นทางความฝันของเราได้อย่างสวยงาม
สรุปคะแนน Birdman (ตามความชอบส่วนตัว) : 9/10 #TeamBirdman
ป.ล. subtitle ของนางเป็นสีเหลืองนะ ไม่ต้องตกใจ
33 comments