เสียดายที่เราเกิดไม่ทันยุครุ่งโรจน์ของวง Queen แต่การดูหนังเรื่อง Bohemian Rhapsody ผ่านเรื่องราวที่เขียนโดย Anthony McCarten (ผู้เขียนบทหนังกึ่งชีวประวัติคนดังประสบความสำเร็จมาแล้ว ทั้งเรื่อง Darkest Hour และ The Theory of Everything) ก็ทำให้เราได้สัมผัสความยิ่งใหญ่ของพวกเขา และพอเข้าใจ Freddie Mercury นักร้องนำของวง ได้พอสังเขป (ณ ที่นี้ เราขอเลือกใช้คำว่า “เข้าใจ” มากกว่าคำว่า “รู้จัก” นะ)
แต่ที่เราแอบเซอร์ไพรส์ตัวเองเล็ก ๆ คือ เพลงของ Queen ที่เล่นในหนังหลายเพลงล้วนแต่เป็นเพลงที่เราต่างคุ้นหูมาก่อนอยู่แล้ว โดยเฉพาะเพลง We Will Rock You ที่พวกเราเคยเอามาร้องเป็นเพลงเชียร์กันบ่อย ๆ ในสมัยเรียน ซึ่งเราจะได้รู้กันในหนังว่าใครในวงนี้ที่เป็นคนริเริ่มแต่งเพลงนี้และมีที่มาของเพลงอย่างไร
หนังเริ่มเล่าตั้งแต่สมัย Freddie Mercury (รับบทโดย Rami Malek จาก Mr. Robot และ Night at the Museum) ยังเป็นแค่ Farrokh Bulsara (ชื่อและสกุลโดยกำเนิด) เด็กวัยรุ่นธรรมดาที่ครอบครัวอพยพจากปากีสถานมาอยู่ที่อังกฤษ เขาต้องเผชิญกับการเหยียดชาติพันธุ์ (เช่น ถูกเรียกว่า เด็กแขก) และถูกล้อเรื่องรูปร่างหน้าตา (ฟันหน้าของเขายื่นเหมือนแก้วหน้าม้า) ครอบครัวของเขาเอง โดยเฉพาะผู้เป็นพ่อ ก็ค่อนข้างเข้มงวดและอนุรักษ์นิยม ตามประสาพื้นเพทางศาสนาและวัฒนธรรมของเขา
ชีวิตของ Freddie เริ่มพลิกผันเมื่อเขาได้มาเข้าร่วมวงดนตรีกับเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย (ซึ่งขอบอกก่อนว่า นักแสดงทุกคนเหมือนตัวจริงมาก แคสต์มาดีมาก) ได้แก่ Brian May มือกีตาร์ (Gwilym Lee จาก The Tourist) และ Roger Taylor มือกลอง (Ben Hardy จาก X-Men: Apocalypse) เพราะตอนนั้นนักร้องนำของสองคนนี้ลาออกพอดี ซึ่งไล่ ๆ กันก็ได้มือเบสมาใหม่ด้วยคือ John Deacon (Joseph Mazzello จาก G.I. Joe: Retaliation) (แต่ John จะไม่ค่อยมีบทบาทมากนัก เหมือนมาเป็นไม้ประดับวง ไม่รู้ว่าชีวิตจริงเขาก็เป็นอย่างนั้นจริง หรือเป็นเพราะว่าเขาไม่ได้มาร่วมเป็นโปรดิวเซอร์หนังเหมือนอย่างอีกสองคนด้วยก็ไม่แน่ใจ) ซึ่งต่อมา Freddie ตั้งชื่อวงใหม่ว่า Queen และพรสววรค์ของเขาก็นำพา Queen ไปจนถึงการออกอัลบั้ม จนมีชื่อเสียงเป็นตำนานระดับโลกจนถึงทุกวันนี้
นอกจากด้านครอบครัว การงาน และเพื่อนฝูงแล้ว หนังยังเล่าชีวิตส่วนตัวของ Freddie เกี่ยวกับความรักหรือชีวิตคู่ ถึงแม้ว่าสำหรับเราจะคิดว่า Freddie เป็นเกย์แน่ ๆ แต่ในหนังเราจะได้รู้ว่า เขาเคยมีแฟนเป็นผู้หญิงและเกือบจะแต่งงานกัน นั่นก็คือ Mary Austin (Lucy Boynton จาก Sing Street) ซึ่งเธอมีความสำคัญไม่น้อยกับชีวิตของ Freddie จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตถึงแม้ทั้งสองจะไม่ได้ลงเอยที่การอยู่ด้วยกัน
ต้องบอกว่า หนังมีหลายประเด็นที่อยากจะเล่า เพียงแต่ยังไม่สามารถบาลานซ์มันได้อย่างกลมกล่อม แต่หลัก ๆ ที่เราเห็นได้ชัดเจนเลยคือ รอบตัวของ Freddie Mercury ตอนที่เขาเริ่มมีชื่อเสียงเงินทองแล้ว เขารายล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย แต่ชีวิตของเขายังเหมือนยังขาดอะไร ยังเหงา ยังรู้สึกไม่เติมเต็ม เพราะเพื่อนของเขาต่างก็มีครอบครัวของเขา แต่เขาไม่มีใครนอกจากแมว จนบางครั้งเขาจึงต้องพยายามแสวงหาความสุขจากการจัดปาร์ตี้ เสพยา หรือเสพบุรุษ ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความหายนะของชีวิต
ไฮไลท์ของหนังคือช่วง 20-30 นาทีสุดท้าย ของหนังที่เป็นโชว์การกุศลในงาน Live Aid (1985) ซึ่งเป็นงานใหญ่ระดับโลก และถือเป็นอีกหนึ่งการแสดงในตำนานของวง Queen ฉากนั้นเป็นฉากที่ยิ่งใหญ่ สมจริง ขนลุก และทรงพลังมาก มันให้ความรู้สึกเหมือนเราได้ชมการแสดงสดของวง Queen ณ เวลานั้นจริง ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบโชว์อย่างไรอย่างนั้น โดยเฉพาะการชมบนจอยักษ์ใหญ่และระบบเสียงที่สุดยอดในโรง IMAX ที่ทำให้ประสบการณ์การชมคอนเสิร์ตสดบนจอภาพยนตร์ครั้งนี้ของเราสมบูรณ์
ฉากไฮไลท์ในงาน Live Aid (1985) ไม่ใช่แค่เป็นฉากการแสดงดนตรีสดที่เสมือนได้ดูคอนเสิร์ตจริง ๆ เท่านั้น แต่มันยังเป็นฉากสำคัญที่ตอกย้ำบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมดว่า ไม่ว่าเราจะเป็นคนเชื้อชาติอะไร พูดภาษาอะไร หรือเพศอะไร ดนตรีเป็นภาษาที่สามารถใช้สื่อสารและนำคนที่แตกต่างกันหลายพันล้านคนมารวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้
ฉากที่สวยงามสำหรับเราไม่ใช่แค่พาร์ทการแสดงอันยิ่งใหญ่ของ Freddie Mercury ในฐานะศิลปินซูเปอร์สตาร์เท่านั้น แต่เป็นพาร์ทความสัมพันธ์ของเขากับพ่อของเขา… เขาต้องพิสูจน์ตัวเองอย่างมากที่จะทำให้พ่อเชื่อมั่นว่าเขาสามารถ “คิดดี ทำดี และพูดดี” ได้อย่างที่พ่ออยากให้เป็น โดยที่ไม่จำเป็นต้องเป็นนักมวย ทำงานตามสูตรสำเร็จ หรืองานอะไรก็ตามที่พ่อคาดหวัง และต้องทำให้พ่อยอมรับในตัวตนที่แท้จริงของเขา เขาจะประสบความสำเร็จเพราะเขาเป็นตัวของเขาเอง ซึ่งต้องบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ยากมาก มากกว่า LGBTQ หลาย ๆ คนด้วยซ้ำ ด้วยศาสนาของเขา อะไรก็ว่ากันไป
สุดท้าย เราจึงกล้าพูดว่า Bohemian Rhapsody เป็นหนังที่ใคร ๆ ก็ดูได้ คุณไม่จำเป็นต้องเป็นแฟนเพลงหรือเคยรู้จักวง Queen มาก่อนเลยก็ได้ เพราะเราเองก็ไม่รู้จักเขามาก่อน และไม่ได้อยู่ในแวดวงดนตรี แต่พอได้ดูหนังของเขาแล้วก็หลงรักจริง ๆ เหมือนได้พลังอะไรกลับมาเต็มหัวใจ และคิดว่า พวกเขานี่แหละศิลปินที่แท้จริง… ศิลปินแบบที่เราจะหาเจอได้ยากมากแล้วในยุคสมัยปัจจุบัน… ขอคุณแค่เปิดใจ มาดูเรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่งและวงของเขา ชายที่เป็นศิลปิน… เป็นเพื่อน… เป็นลูกชาย… เป็นคนรัก… และเป็นตัวของเขาเอง ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ความฝัน และแรงบันดาลใจของคนทั้งโลกมาตั้งแต่ยุค ’70
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 8/10
42 comments
Comments are closed.