📌 พิกัดหนังสือ MANIFEST: 7 ขั้นตอนสู่ทุกสิ่งที่ปรารถนา (ปกส้ม) https://s.shopee.co.th/VpVslIcR7 📌 พิกัดหนังสือ Manifest: Dive Deeper (ปกน้ำเงิน) https://s.shopee.co.th/2qDoRKMcHY
WHY I Read Manifest: Dive Deeper?
ทำไมจึงซื้อ Manifest: Dive Deeper ทั้งที่เคยอ่าน MANIFEST: 7 ขั้นตอนสู่ทุกสิ่งที่ปรารถนา แล้ว
เมื่อปีที่แล้ว ขวัญได้อ่านและเขียนสรุปเนื้อหาจากหนังสือ MANIFEST: 7 ขั้นตอนสู่ทุกสิ่งที่ปรารถนา (ปกส้ม) แล้วหนังสือช่วยปรับมายด์เซ็ตและเปลี่ยนชีวิตขวัญตลอดปีที่ผ่านมาได้มาก ทั้งที่ขวัญก็ยังไม่ได้ปฏิบัติตามที่หนังสือไกด์อย่างจริงจังนัก แต่ขวัญก็รู้สึกว่า ขวัญได้รู้จักตัวเองมากขึ้น เริ่มรักตัวเองจากข้างใน และดึงดูดสิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิตมากมาย บ่อยครั้งที่ขวัญพบว่า อยากได้อะไรก็ได้ คิดอย่างไรก็ได้อย่างนั้น ทั้งขวัญและคนรอบตัวขวัญต่างก็พูดตรงกันว่า “ขวัญเป็นคนโชคดี”
ปีนี้ขวัญอยากต่อยอดความโชคดี จึงซื้อ Manifest: Dive Deeper (ปกน้ำเงิน) มาอ่าน เพื่อทบทวนเนื้อหาพื้นฐานจากเล่มปกส้มที่อ่านปีที่แล้ว (ทุก ๆ หน้าแรกของแต่ละบท เขามี Overview หรือสรุปภาพรวมของแต่ละขั้นตอน เอาไว้ให้) พร้อม ๆ กับการเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ที่ลึกขึ้น จนไปถึงลองทำแบบฝึกหัด โดยหนังสือเล่มนี้มีอีกชื่อนึงคือ MANIFEST: IN ACTION
Manifest: Dive Deeper vs. Manifest
Manifest: Dive Deeper เหมือนและต่างจาก MANIFEST: 7 ขั้นตอนสู่ทุกสิ่งที่ปรารถนา อย่างไร?
ในขณะที่ MANIFEST (ปกส้ม) ปูพื้นฐานการรักตัวเองและความเข้าใจที่สำคัญเกี่ยวกับขั้นตอนต่าง ๆ นั้น Manifest: Dive Deeper (ปกน้ำเงิน) จะมีเนื้อหาที่ลงลึกขึ้น มาให้คำตอบในสิ่งต่าง ๆ ที่เราอาจจะรู้สึกไม่เคลียร์ในเล่มแรก เช่น เราอาจมีคำถามตอนอ่านจากเล่มแรกว่า “อ้าว… แล้วแบบนี้เราต้องคิดบวกตลอดเวลาหรอ” แต่พอมาอ่านเล่มสอง เราก็จะเก๊ตมากขึ้น พาเราดำดิ่งไปที่ขั้นตอนของการเยียวยารักษา ทบทวนและสำรวจตัวเอง จนถึงกระบวนการการยกระดับจิตใจและปลดล็อคศักยภาพในการ Manifest ผ่านการทำแบบฝึกหัดหรือ guided journal
ถึงแม้ทั้งสองเล่มจะเล่าเป็น 7 ขั้นตอนตามลำดับเหมือนกัน แต่แต่ละเล่มก็มีส่วนที่แตกต่างกัน เพราะปกส้มเน้นพื้นฐาน ส่วนปกน้ำเงินเน้นดีเทลและแบบฝึกหัด แต่มันจะมีเนื้อหาที่ทั้งสองเล่มเล่าคล้าย ๆ กันอยู่บ้าง ก็คือบทที่ 1 บทที่บรรยายถึงขั้นตอน “การมองภาพให้ชัดเจน” ซึ่งก็เข้าใจได้ เพราะมันเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางแห่งจิตดลบันดาล มันเป็นขั้นตอนที่จะทำให้เราได้รู้จักความต้องการของตัวเอง รู้ว่าเราต้องการจะรู้สึกอย่างไรและต้องการดึงดูดสิ่งใดเข้ามา ผ่านการนึกภาพและทำ Vision Board ซึ่งมันเป็นรากฐานสำคัญสำหรับขั้นตอนต่อ ๆ ไป
I Found Myself Through the Process
ค้นพบตัวเองได้อย่างไรจากการทำจิตดลบันดาล?
อย่างไรก็ตาม ปีที่แล้ว ตอนที่ขวัญได้เข้ามาในโลกของ Manifest ครั้งแรก และเริ่มอ่านบทที่ 1 นี้ในหนังสือปกส้ม ณ ตอนนั้นขวัญยังไม่ค่อยเชื่อมากนัก แต่พอเริ่มอ่านบทต่อ ๆ ไปและเริ่มทำตามกระบวนการ “การมองภาพให้ชัดเจน” ขวัญก็ค้นพบทันทีว่า “อ๋อ มันช่วยให้เรารู้จักตัวเองชัดขึ้น จะได้เลิกไล่ล่าหรือเสียเวลากับสิ่งที่ไม่ใช่ แล้วไปโฟกัสกับการใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับตัวตนที่แท้จริงมากขึ้น รู้งี้ทำตั้งนานแล้ว” และที่ตอนแรกเรายังปิดกั้น ยังมองว่า “ไร้สาระ ทำทำไม เสียเวลา” แท้จริงแล้ว มันก็แค่ข้ออ้าง ที่เราสร้างขึ้นมาเป็นเกราะกำบังจากความกลัว… กลัวที่จะยอมรับว่าตัวเองอยากได้อยากมีอยากเป็น กลัวที่จะหวังแล้วไม่ได้ตามที่เราหวัง…
ดังนั้น พอปีนี้ ขวัญได้กลับมาอ่านเนื้อหาในบทที่ 1 อีกครั้งในเล่มปกน้ำเงิน ไม่ว่าเนื้อหาบนหน้ากระดาษมันจะเหมือนเดิมมากน้อยแค่ไหนก็ตาม แต่สิ่งที่แตกต่างชัดเจนก็คือ “ความรู้สึกของตัวเองจากข้างใน” เพราะเราเป็นคนละคนกับวันนั้นแล้ว อย่างที่เขาว่ากันว่า เมื่อตัวตนของเราเปลี่ยนไป เราก็ experience และ perceive สิ่งต่าง ๆ รอบตัวไม่เหมือนเดิม เพียงแค่ ณ ที่นี้ ขวัญไม่ได้เปลี่ยนไป… ขวัญแค่เพิ่งได้ค้นพบตัวเองและได้เป็นตัวเองอย่างแท้จริง
The Game Changers
บทสำคัญที่เปลี่ยนชีวิต
ส่วนของเนื้อหาที่เล่มสองแตกต่างจากเล่มหนึ่งอย่างชัดเจนและขวัญชอบมาก ๆ คือ ช่วงบทที่ 2-3 หรือช่วงขั้นตอน “การขจัดความกลัวและความกังขา (Remove fear and doubt.)” และ “การปรับพฤติกรรม (Align your behaviour.)” ที่นำไปสู่กระบวนการการเยียวยาและการรักตัวเองอย่างจริงจัง
บางแบบฝึกหัด เช่น “เด็กน้อยในตัวคุณ” ทำให้เราร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร แต่เป็นการแสดงออกของอารมณ์ความรู้สึกในเชิงบวก เป็นการตระหนักรู้ ปลดปล่อย ปล่อยวาง เยียวยา และเกิดใหม่อย่างแท้จริง
โดยส่วนตัว ขวัญจะอ่านและทำแบบฝึกหัดตามกระบวนการแบบหน้าต่อหน้าเลย ถ้ายังทำแบบฝึกหัดของส่วนนี้ยังไม่เสร็จ ขวัญก็จะยังไม่เริ่มอ่านเนื้อหาส่วนต่อไปต่อ นอกจากนี้ ถึงแม้หนังสือเขาก็มีบรรทัดเว้นไว้ให้เขียนตอบคำถามโดยตรงก็ตาม แต่ขวัญก็เลือกทำแบบฝึกหัดหรือเขียน guided journal ลงในสมุดแยกเล่มไปเลย เพราะขวัญเชื่อว่า ในวันหน้า ขวัญก็ควรกลับมาทบทวนตัวเองหรือ reflect อะไรแบบนี้อีกอย่างน้อยปีละครั้ง
อย่างไรก็ตาม ขวัญรู้สึกว่า Manifest: Dive Deeper บทที่ 2 ที่เน้นการเยียวยาตัวเอง มีเนื้อหาคล้ายกับหนังสือจิตวิทยา Why Has Nobody Told Me This Before? และบทที่ 3 ที่เน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ก็มีเนื้อหาคล้ายหนังสือพัฒนาตัวเองอย่าง Atomic Habits ซึ่งทั้งสองเล่มนี้ก็เป็นหนังสือที่ช่วยปรับมายด์เซ็ตและกิจวัตรประจำวันของขวัญมาก่อนหน้านี้แล้วเช่นกัน ดังนั้น ถ้าใครอยากลงลึกกับการเยียวยาบาดแผลในอดีตและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างจริงจัง ขวัญก็แนะนำให้ลองไปอ่าน Why Has Nobody Told Me This Before? กับ Atomic Habits ต่อได้เลย
Which one should I read if I can only choose one?
ถ้าจะอ่านแค่เล่มเดียว ควรเลือกอ่านเล่มไหน?
คำถามที่ขวัญได้รับบ่อย ๆ (และเป็นคำถามที่ขวัญก็ถามตัวเองก่อนซื้อหนังสือพวกนี้เหมือนกัน) ก็คือ… ถ้าเลือกอ่านแค่เล่มเดียว ควรอ่านเล่มไหนดี? หรือ ถ้าไม่อ่านเล่มส้มแล้วข้ามไปอ่านเล่มน้ำเงินเลยได้ไหม?
ขวัญตอบได้ทันทีเลยว่า “อ่านเล่มส้มก่อน” เพราะถึงแม้ว่า เล่มน้ำเงินจะมี Overview สรุปภาพรวมของแต่ละขั้นตอนไว้ที่หน้าแรกของแต่ละบท แต่การปูพื้นฐานคือสิ่งที่สำคัญที่สุด เหมือนการสร้างบ้าน ถ้าวางเสาเข็มไม่ดี ไม่แข็งแรง มันก็อาจล้มเอาง่าย ๆ และถ้าเราวางอิฐก้อนแรกดี ก้อนต่อ ๆ ไป มันก็ทำง่าย เดินง่าย
เช่นเดียวกับ 7 ขั้นตอนสู่ทุกสิ่งที่ปรารถนา ถึงแม้ผู้เขียนจะแนะนำว่า ควรทำทุก ๆ ขั้นตอนไปพร้อม ๆ กัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การรักตัวเองคือพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของแต่ละขั้นตอน ถ้าเรายังไม่รักตัวเองอย่างแท้จริง เราก็มิอาจเข้าถึงกระบวนการได้อย่างที่ควรจะเป็น
⭐️ เราคือผู้เขียนเรื่องราวในชีวิตของเราเองได้จริง ๆ
ถ้าเราเชื่อมากพอ ⭐️
📌 พิกัดหนังสือ MANIFEST: 7 ขั้นตอนสู่ทุกสิ่งที่ปรารถนา (ปกส้ม) https://s.shopee.co.th/VpVslIcR7
📌 พิกัดหนังสือ Manifest: Dive Deeper (ปกน้ำเงิน) https://s.shopee.co.th/2qDoRKMcHY