“We all need to take a moment to just enjoy life, step back and relax and appreciate our friends and our family and lives that we have,” Schroeder said. “We forget to do that sometimes.”
เมื่อต้นปีเราได้ดูหนัง GOODBYE CHRISTOPHER ROBIN ที่บอกเล่าเรื่องราวของครอบครัว Milne ผู้แต่งหนังสือชื่อดัง Winnie the Pooh โดยเรื่องราวจะมีประเด็นเกี่ยวกับชีวิตของ Christopher Robin (ลูกชายของคนเขียนหนังสือ) ทั้งในวัยเยาว์และวัยรุ่น หรือก่อนและหลัง ที่ตัวละครอย่าง Winnie the Pooh, Tigger, Eeyore, และ Piglet ฯลฯ จะถือกำเนิดขึ้น ซึ่งทั้งสองวัยนี้ เด็กน้อยเปลี่ยนแปลงและเผชิญปัญหาส่วนตัวอย่างหนักหน่วงเพราะชื่อเสียงของหนังสือที่พ่อของเขารังสรรค์ขึ้น
เวลาผ่านไปเพียงแค่ประมาณครึ่งปีเศษ หนัง CHRISTOPHER ROBIN (ชื่อคล้ายกัน ต่างแค่ไม่มีคำว่า “Goodbye”) ของ Disney ก็ได้ถูกนำเข้ามาฉายในโรงภาพยนตร์ แต่ดีที่เรื่องราวของหนังทั้งสองเลือกเล่าคนละช่วงวัยและคนละด้านกันไป
โดยเรื่องราวของ CHRISTOPHER ROBIN เวอร์ชั่นไม่กู๊ดบายนี้ จะเน้นชีวิตของ Christopher Robin (Ewan McGregor จาก Star Wars: Episode I) ในวัยทำงานและมีครอบครัวแล้ว ซึ่งในวัยนี้เขาเปลี่ยนไปจากวัยเด็กโดยสิ้นเชิง จากเด็กที่มีโลกจินตนาการอยู่ในป่าร้อยเอเคอร์ กลายเป็นมนุษย์ออฟฟิศ เป็นผู้จัดการบริษัทที่กำลังจะขาดทุน เป็นลอนดอนเนอร์ที่บ้างานจนลืมความสุขบางอย่างในชีวิต ละเลยความสำคัญของภรรยา (Hayley Atwell จาก Captain America) และลูกสาว (Bronte Carmichael จาก Darkest Hour) นอกจากนี้เขายังลืมเพื่อนเก่าในป่าร้อยเอเคอร์ (The Hundred Acre Wood) ไปหมดสิ้น
Winnie the Pooh, Tigger, Eeyore, และ Piglet (ให้เสียงพากย์โดย Jim Cummings, Jim Cummings, Brad Garrett, และ Nick Mohammed ตามลำดับ) จึงต้องออกมาผจญภัยในโลกจริงของ Christopher Robin เพื่อให้เขากลับไปพบกับความสุขในชีวิตและให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์กับคนที่เขารัก ทั้งครอบครัวและเพื่อน อีกครั้ง
ซึ่งเราคิดว่านี่เป็นสตอรี่ เป็นเมสเซจ ที่ยิ่งใหญ่และน่าสนใจมาก มีข้อคิดและแรงบันดาลใจที่คนดูทั่วไปจะเข้าถึงและนำไปปรับใช้ได้มากกว่า GOODBYE CHRISTOPHER ROBIN ที่เน้นเล่าว่า How the fame affected the child’s life แต่เสียดายที่หนังสั้นไปหน่อย บางจุดเลยเหมือนรีบเล่าและรีบตัดต่อไปบ้าง แต่โดยรวมก็ไม่ได้ถึงกับรู้สึกติดขัดอะไร
เรื่อง CG ของค่ายดิสนีย์ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เขาสามารถเนรมิตตัวละคร Winnie the Pooh, Tigger, Eeyore, และ Piglet ฯลฯ ให้มีชีวิตได้แนบเนียน น่ารัก คาแรกเตอร์ที่ชัดเจน (เช่น พิกเล็ต ขี้กลัว ขี้ตระหนก) ทำให้หนังมีสีสันมากขึ้น โดยเฉพาะการพาพวกเขาเข้ามาผจญภัยในลอนดอนในช่วงองก์สุดท้ายก็ทำได้สนุกและดีมาก ๆ
คือหนังเค้าฟีลกู้ดมาก บทจะเฮฮาก็ขำน่ารักน้ำตาแทบเล็ด บทจะให้ข้อคิดก็ซึ้งน้ำตาซึม นี่ก็เชื่อว่าใครที่ได้ไปดูจะต้องคิดถึงเพื่อนเก่า คิดถึงครอบครัว และอาจจะกลับไปบาลานซ์ชีวิตระหว่างการงานและความสัมพันธ์กับคนอื่นได้บ้างไม่มากก็น้อย (ช่วงไหนที่โหมงานหนัก ๆ ควรหยิบหนังเรื่องนี้มาเปิดดู) และที่สำคัญมอบพลังบวกให้เราอย่างเต็มเปี่ยม มันทำให้เราเข้าใจว่า โลกมันจะเป็นอย่างไร มันอยู่ที่ตัวเราเองจะมองโลกอย่างไร
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 8.5/10
(นี่แนะนำให้หยิบเงินออกไปซื้อตั๋วเรื่องนี้และชาร์จพลังบวกได้เลย)
28 comments
Comments are closed.