เขาว่ากันว่า สิ้นปีเก่าต้อนรับปีใหม่เป็นโอกาสในการเริ่มต้นใหม่หรือโอกาสใหม่หนที่สองที่ดีที่สุด ดังนั้น ใครกำลังมองหาแรงบันดาลใจในการนับหนึ่งใหม่ตั้งแต่กลางเดือน ธ.ค. ตอนนี้ เราแนะนำ Collateral Beauty หนังที่เปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจและข้อคิดในการดำเนินชีวิต ทั้งยังรวมดาวนักแสดงออสการ์ไว้มากมาย ทั้งผู้เข้าชิงและเจ้าของรางวัลออสการ์
กำกับโดย David Frankel ผู้กำกับ The Devil Wears Prada และอำนวยการสร้างโดยผู้อำนวยการสร้างหนังออสการ์ Spotlight

เรื่องย่อ Collateral Beauty
หลังจากสูญเสียลูกสาววัย 6 ขวบไป Howard (Will Smith) กลายเป็นคนเก็บตัว ซึมเศร้า และเริ่มเขียนจดหมายถึง Love, Time, และ Death ซึ่งเป็นสิ่งนามธรรม
เพื่อนสนิทของเขา ได้แก่ Whit (Edward Norton), Claire (Kate Winslet), และ Simon (Michael Peña) เป็นกังวลหนักกับอาการของ Howard และความมั่นคงของบริษัท จึงไปว่าจ้าง Amy (Keira Knightley), Raffi (Jacob Latimore), และ Brigitte (Helen Mirren) ให้มาแสดงละครเป็น Love, Time, และ Death ตามลำดับ
ในขณะเดียวกัน Howard ได้ไปเข้าร่วมกลุ่มให้กำลังใจผู้สูญเสียลูก และได้พบกับ Madeleine (Naomie Harris) หญิงสาวผู้สูญเสียลูกสาวไปเหมือนกัน แต่เป็นคนมองโลกในแง่บวก มองเห็นความงามในความเศร้าอย่างแท้จริง

รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ Collateral Beauty
ปฏิเสธไม่ได้ว่า Collateral Beauty มีคอนเซ็ปต์ที่น่าสนใจและมีทีมนักแสดงที่สตรองทั้งทีมเป็นวัตถุดิบชั้นดี โทนของหนังก็เป็นหนังชีวิตค่อนไปทางฟีลกู๊ดแบบที่คนส่วนใหญ่ชอบดูกัน โดยรวมเราชอบเลยแหละ เป็นหนังที่ดูสนุก ได้ข้อคิด และได้แรงบันดาลใจ
อย่างไรก็ตาม ตัว Will Smith ซึ่งเป็นเสมือนศูนย์กลางของเรื่องไม่ได้น่าเอาใจช่วยสักเท่าไหร่ ไม่ได้ชวนเห็นใจหรือเข้าใจ และก็ไม่ได้นำพาให้เราไปสุดเท่าที่ควร คือเขาก็แสดงดีในระดับมาตรฐานของเขานั่นแหละ ซึ่งบางครั้งก็ดูธรรมดาไปเสียด้วยซ้ำเมื่อเข้าฉากกับนักแสดงคนอื่น เช่น ป้า Helen Mirren ตัวแม่

ทั้งนี้ทั้งนั้น ด้วยเวลาของหนังเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงครึ่งจึงอาจไม่สามารถถ่ายทอดสารให้คนดูได้อย่างเต็มที่ บางจุดเราก็ยังไม่ได้ทันจะเก๊ต บางซีนยังไม่ทันจะอิน หนังก็ตัดไปอีกฉากหนึ่งเสียแล้ว (สงสัยต้องไปดูซ้ำเพื่อซึมซาบเนื้อหาเพิ่ม)
แต่เท่าที่จับใจความได้ แก่นหลัก ๆ ของเรื่องคือให้เราเห็นคุณค่าของเวลา ให้ความสำคัญกับความรัก และในขณะเดียวกันก็ตระหนักถึงความตาย โดยให้วัยรุ่น Jacob Latimore เป็นตัวแทนของ “เวลา”, ให้หญิงสาวสวยอย่าง Keira Knightley เป็นตัวแทนของ “ความรัก”, และให้หญิงวัยเริ่มชรา Helen Mirren เป็นตัวแทนของ “ความตาย” นับว่าสามคนกับสามสิ่งนามธรรมนี้เป็น casting ที่เหมาะสมอย่างมีนัยสำคัญ
Jacob Latimore หรือ “Time” ก็จะมาสอนให้พระเอกของเราใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่า ไม่ใช่มานั่งเสียใจกับอดีตจนจะสูญเสียทุกอย่างในปัจจุบันที่มีอยู่ ส่วน Keira Knightley หรือ “Love” ก็จะมาพูดให้เขาไม่ละทิ้งหรือปฏิเสธความรักอันเป็นสิ่งสวยงามในชีวิต ทำให้เขาเห็นว่าความรักยังอยู่กับเขาตลอดเวลา ไม่ว่าจะยามสุขยามเศร้า สุดท้าย Helen Mirren หรือ “Death” ก็จะช่วยให้เขายอมรับการสูญเสียอันหลีกเลี่ยงไม่ได้ให้ได้
ถึงแม้เส้นเรื่องหลักจะดูเหมือนเอา Time, Love, และ Death มาสั่งสอน Will Smith แต่ในขณะเดียวกัน Time, Love, และ Death ก็มาชี้ทางสว่างให้กับเพื่อน ๆ ของ Will Smith ในเรื่องด้วยอีกทีหนึ่ง

กล่าวคือ Jacob Latimore หรือ “Time” จับคู่กับ Kate Winslet หญิงบ้างานจนไม่มีเวลาไปหาแฟนและสร้างครอบครัวของตัวเอง กว่าจะรู้ตัว อายุและสังขารของเธอก็เริ่มใกล้เลยวัยจะมีลูกได้อยู่แล้ว เธอจึงต้องเร่งหาวิธีทำลูกให้ทันแข่งกับเวลา
Keira Knightley หรือ “Love” จับคู่กับ Edward Norton ซึ่งในเรื่องเป็นผู้ชายเจ้าชู้ไก่แจ้จนถูกภรรยาฟ้องหย่าและลูกสาวก็เกลียดเขาไปเลย Keira Knightley จึงต้องมาช่วยให้ Edward Norton เข้าใจและได้ใช้โอกาสรักษาความรักอีกสักครั้ง
คู่สุดท้ายคือคู่ของ Helen Mirren หรือ “Death” กับ Michael Peña ชายหนุ่มที่มีครอบครัวที่สมบูรณ์แต่เขากลับปิดบังไม่บอกใครว่าร่างกายของตัวเขาเองไม่สมบูรณ์ แม้แต่ภรรยาของเขาเองก็ไม่รู้เรื่องโรคที่เขาเป็นอยู่ Helen Mirren ก็จะมาช่วยให้เขารับมือกับความตายนั้นอย่างถูกต้อง

จะเห็นได้ว่า Collateral Beauty เป็นหนังที่จะทำให้เราเห็นความงามในความเศร้า เข้าใจชีวิต และเห็นคุณค่าของมันมากขึ้น โดยเฉพาะ ความรัก เวลา และความตาย ซึ่งเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงเราทุกคนเข้าถึงกัน หนังจะจุดประกายและแรงบันดาลใจให้เราคิดใหม่เริ่มต้นใหม่ ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่โหยหาความรัก ต้องการเวลามากขึ้น และหวาดกลัวการจากลา เรื่องนี้อาจจะทำให้คุณมองเห็นอะไรได้มากขึ้น
นี่อาจจะไม่ใช่หนังที่ดีที่สุด แต่เป็นหนังที่สวยงาม ดูเพลิน ดูสนุก เหมาะกับเทศกาล และนักแสดงทุกคนทำหน้าที่ของพวกเขาได้ดีทีเดียว
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 8/10
เข้าฉายรอบ Sneak Preview (หลัง 20:00 น.) ตั้งแต่ วันนี้ – 14 ธ.ค. ฉายจริงรอบปกติ 15 ธ.ค. 2016 เป็นต้นไป
30 comments
Comments are closed.