Crimson Peak: ปราสาทสีเลือด ไม่ใช่หนังผี หากแต่เป็นหนังรักน้ำเน่าที่มีผีเป็นส่วนประกอบในเรื่อง โดยใช้ “ผี” เป็นอุปมาอุปไมย (metaphor) แทนถึง “อดีต”
“Beware of Crimson Peak.”
เรื่องย่อ Crimson Peak
Edith Cushing (Mia Wasikowska จาก Alice in Wonderland) เป็นคนมีเซนส์ เห็นภูติผีวิญญาณมาตั้งแต่วันที่แม่ของเธอตายจากไป เธอเป็นลูกสาวคนเดียวของ Carter Cushing (Jim Beaver) มหาเศรษฐีเจ้าของธุรกิจก่อสร้างของอเมริกา และยังมีความใฝ่ฝันจะเป็นนักเขียน
วันหนึ่ง Edith ได้พบกับผู้ดีเก่าตกยาก Thomas Sharpe (Tom Hiddleston จาก Thor, The Avengers) ผู้ซึ่งเดินทางไกลมาจากอังกฤษเพื่อมาขอทุนจากพ่อของเธอไปพัฒนาเหมืองของเขาและรักษาปราสาทอันเป็นมรดกตกทอดของเขาเอาไว้ ทั้งสองตกหลุมรักกัน ทั้งที่พ่อของเธอไม่เห็นด้วย และ Dr. Alan McMichael (Charlie Hunnam จาก Pacific Rim) หมอหนุ่มที่แอบรัก Edith มาแต่เด็กก็ต้องอกหัก
Edith กับ Thomas แต่งงานกัน และย้ายมาอยู่ด้วยกันที่ปราสาทอันเก่าแก่ทรุดโทรมของ Thomas ที่ประเทศอังกฤษ ที่นั่นมีแค่ Thomas อาศัยอบู่กับ Lucille Sharpe ผู้เป็นพี่สาว (Jessica Chastain จาก The Help, Zero Dark Thirty, Interstellar, The Martian) เพียงสองคนเท่านั้น แต่ Edith กลับรู้สึกว่าที่นี่ไม่ได้มีแค่ Thomas กับ Lucille หากแต่ยังมีวิญญาณอาศัยอยู่ด้วย!
รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ Crimson Peak
เราโอเคที่นางเอกบอกตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วว่า นี่ไม่ใช่หนังผี หากแต่เป็นเรื่องราวที่มีผีเป็นส่วนประกอบ และเธอก็ชอบใช้ “ผี” เป็นอุปมาอุปไมย (metaphor) แทนถึง “อดีต” ในงานเขียนของเธอ แต่ก็ไม่เห็นว่าหนังจะเอาจุดนั้นมาขยี้สักเท่าไหร่
ถึงแม้จะไม่ใช่หนังผี แต่หนังก็ยังคงพยายามที่จะเป็นหนังทริลเลอร์อยู่ โดยการสร้างบรรยากาศให้น่ากลัว และใส่ผีเข้ามา “หลอก” คนดูอยู่เป็นระยะๆ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากไม่ใช่หนังผี เวลาผีออกมา จึงมักค่อนไปทางตลก (หรือบางทีฉันก็กลัวทรงผมนางเอกตอนนอนมากกว่ากลัวผีตอนกลางคืนเสียอีก)
เช่น ปราสาทมันสกปรกใช่มั้ย ชุดโกธิคมันก็ระย้งระย้ายาวกรุยกรายใช่มั้ย ทีนี้เวลานางเอกของเราใส่ชุดนอนกรุยกรายนั้นวิ่งหนีผี มันกลายเป็นจุดที่ตลก เพราะไม่ว่าเธอจะไปทางไหน ชายกระโปรงของเธอก็ช่วยกวาดใบไม้ให้พื้นปราสาท ณ ห้องนั้นให้สะอาดเป็นทางไป จนนี่สงสัย ตกลงเขาจะทำหนังคอเมดี้หรือกระไร
แน่นอน เพราะไม่ใช่หนังผีแล้วนี่ ดังนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในหนังจึงไม่ใช่ “ผีหลอก” หากแต่เป็น “คนหลอก” แต่ปัญหาของ Crimson Peak สำหรับเราคือ หนังมันยังหลอกคนดูไม่ได้ ทำให้อินยังไม่ได้เลย
เราว่าการเล่าเรื่องค่อนข้างน่าเบื่อ โดยเฉพาะไปปูเรื่องช่วงก่อนนางเอกย้ายบ้านนานไปหน่อย ประกอบกับเรื่องมันก็คาดเดาได้ไม่ยาก ยิ่งเดาได้ตั้งแต่ต้นเรื่อง มันจึงไม่มีอะไรน่าติดตามค้นหา อย่างตรงพล็อตทวิสต์ก็ไม่รู้สึกว่ามันพล็อตทวิสต์อะไรมากมาย และก็ไม่ได้แปลกใหม่อะไร เฉยมาก
สรุปคือเนื้อเรื่องและการเล่าเรื่องไม่สนุก… ไม่พีคเลย ค่อนไปทางผิดหวังเลยก็ว่าได้ (ไม่นับที่มันน้ำเน่าอีกส่วนหนึ่ง) โดยส่วนตัวคิดว่า หนังมันยังเซอร์เรียลได้อีก ไหนๆ จะทำขนาดนี้แล้วก็ควรจะทำให้สุดไปเลย
สิ่งที่ดีงามในหนัง และดีงามมากๆ คืองานโปรดักชั่นที่ดูแพง มีศิลปะ และเป็นงานละเอียด (ประกอบกับการแสดงของสามนักแสดงนำของเรื่อง โดยเฉพาะ Jessica Chastain ที่ “จิต” ได้ใจอย่างที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
เรื่องนี้ผู้ชายเหมือนจะเป็นตัวประกอบร่อนไปร่อนมา โดยมีผู้หญิงเป็นตัวขับเคลื่อนและควบคุม ดังนั้น Tom Hiddleston ในเรื่องนี้ ถึงแม้จะหล่อ แต่ก็ไม่ค่อยเจิดเท่ากับตอนเป็น Loki แล้วอดีตพระเอก Pacific Rim ผู้รับบทหมอหนุ่มที่ตกหลุมรักนางเอกก็ดูโง่ๆ และเป็นส่วนขาดส่วนเกินของหนังอย่างบอกไม่ถูก เหมือนจะเป็นตัวร้ายแต่ก็ไม่ใช่ เหมือนจะเป็นฮีโร่แต่ก็ไม่ใช่
เออ และนอกจากนี้ ช่วงแรกๆ ก่อนที่พระนางจะเจอกัน ช่วงที่นางเอกยังตั้งหน้าตั้งตาเขียนหนังสือ ก็เหมือนจะมีความเฟมินิสต์ให้เราชอบอยู่หรอกนะ เช่น หนังสือที่นางเอกเขียนไม่ค่อยได้รับการยอมรับเพราะเธอเป็นผู้หญิง บลาๆๆ แต่สุดท้าย พอนางเอกมีผัว ประเด็นอะไรพวกนี้ก็อันตรธานหายไปราวกับผียังไงยังงั้น
โดยสรุป Crimson Peak เป็นหนังที่เราค่อนข้างผิดหวัง แต่ไม่ถึงกับแย่มากถึงขั้นรับไม่ได้ พอดูได้ ไม่เสียดายตังค์มาก เพราะได้นักแสดงระดับมาสเตอร์พีซประคองไว้จนจบเรื่อง ประกอบการโปรดักชั่นราคาแพงที่ช่วยคูณความหลอนให้ปราสาทสีเลือดแห่งนี้ดูขลังอย่างมีมนต์เสน่ห์
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 7/10
เข้าฉายแล้ว 15 ต.ค. นี้ในโรงภาพยนตร์
47 comments