Exodus: Gods and Kings เป็นอีกหนึ่งเลคเชอร์วิชาประวัติศาสตร์ เล่าเรื่องของ Moses หรือโมเสส บุคคลในตำนานพระคัมภีร์ไบเบิล กำกับโดย Ridley Scott ผู้กำกับฯ คนดังที่เคยทำหนังประสบความสำเร็จมาแล้วหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่แนวๆ เดียวกันกับเรื่องนี้ ได้แก่ Gladiator และ Kingdom of Heaven
(เราดู Kingdom of Heaven เพราะอาจารย์วิชาหนึ่งให้ดูสมัยเรียนที่อักษรฯ เพราะ Kingdom of Heaven มีเนื้อหาสมัยสงครามครูเสด แต่ยังไม่เคยดู Gladiator)
เรื่องย่อ (ไม่สปอยล์)
เรื่องราวของ Exodus: Gods and Kings เกิดขึ้นที่เมือง Memphis ของอียิปต์โบราณ ในยุคปลายสมัยของ Pharaoh Seti (John Turturro จาก Transformers) ตัวเอกของเรื่องคือ Moses (Christian Bale จาก The Dark Knight) หลานชายคนโปรด และ Ramses (Joel Edgerton จาก The Great Gatsby) ทายาทคนเดียวของฟาโรห์ ทั้งคู่ถูกเลี้ยงมาด้วยกันและรักใคร่กันประหนึ่งพี่น้องแท้ๆ จนกระทั่งสิ้นรัชสมัยของ Pharaoh Seti และ Ramses ได้ขึ้นครองราชย์ ความลับเรื่องชาติกำเนิดของ Moses ถูกเปิดเผย Moses ไม่ใช่เจ้าชายอียิปต์โดยกำเนิด แต่จริงๆ เป็นลูกทาสเชื้อสายฮิบรูที่ลอยในตะกร้ามากับสายแม่น้ำไนล์ ทำให้ Moses ถูกเนรเทศออกจากเมือง
ต่อมา Moses แต่งงานและมีลูกชายหนึ่งคนกับ Séfora (María Valverde) หญิงชาวบ้านที่เขาพบระหว่างทาง แต่นั้นมา เขาก็ใช้ชีวิตเป็นคนเลี้ยงแกะธรรมดาเป็นเวลา 9 ปี จนวันนึงเขาได้พบกับ Malak ซึ่งเป็นพระเจ้าในร่างเด็กชายอายุ 11 ขวบ (Isaac Andrews) บนภูเขา และกลับไปช่วยพี่น้องฮิบรูจากการเป็นทาสของ Pharaoh Ramses ผู้บ้าอำนาจ โดยมีพระเจ้าคอยช่วยเหลือ
รีวิว / วิจารณ์1. เนื้อเรื่อง
เราเป็นชาวพุทธที่ไม่รู้เรื่องของโมเสสตามไบเบิลมาก่อนเลย (พอๆ กับที่รู้ว่าโนอาห์ขนสัตว์โลกชนิดละคู่ขึ้นเรือยักษ์หนีน้ำท่วมโลก) ดังนั้นเราจึงเพลิดเพลินกับการติดตามกับเรื่องราวใน Exodus: Gods and Kings ฉบับของ Ridley Scott อย่างยิ่ง คือไม่ใช่ชาวคริสต์ก็ดูสนุก เขาไม่อิงศาสนาหรือพระเจ้าจ๋าจนเกินไป โดยส่วนตัว เราว่าการเล่าเรื่องสนุกกว่าหนังเรื่อง Noah ที่ฉายไปเมื่อต้นปี และดูทุนหนากว่าด้วย
เสียก็แต่ฉาก “ทะเลแหวก” ที่เรารอคอย (รอคอยแต่ทะเลแหวก เพราะเป็นอย่างเดียวที่เรารู้จักเกี่ยวกับโมเสสก่อนมาดูหนังเรื่องนี้) ยังน้อยไปหน่อยสำหรับการคาดหวังของเรา และก็ไม่เหมือนทะเลแหวกที่เราเคยจินตนาการ (หรือเคยเห็นในการ์ตูนโดราเอมอน) สักเท่าไหร่ แต่โดยรวมทะเลแหวกเขาก็ทำถึงอยู่ดีนะ
ส่วนใครที่คาดหวังฉากบู๊แอ็คชั่นอาจจะต้องผิดหวัง เพราะหนังมีฉากต่อสู้กันไม่มาก ส่วนที่ตื่นเต้นและเป็นจุดขายของ Exodus: Gods and Kings จริงๆ ก็เห็นจะเป็นฉากการอพยพหนีของเหล่าทาส 400,000 ชีวิต หรือการไล่ล่าแบบบ้าระห่ำของ Pharaoh Ramses กับฉากช่วงที่ธรรมชาติลงโทษอียิปต์ด้วยโรคระบาดและภัยพิบัติ (แน่นอนว่า มีฉากทะเลเลือด หรือ Red Sea ให้ดูด้วย)
อย่างไรก็ตาม เราก็ตอบไม่ได้นะว่า ถ้าคุณเป็นคนที่รู้เรื่องโมเสสดีอยู่แล้ว หรือเคยดูหนังที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับโมเสสมาก่อนบ้าง จะรู้สึกง่วงหรือเปล่า เพราะหนังค่อนข้างเล่าเรื่องโมเสสแบบตรงไปตรงมา ไม่มีการดัดแปลงหรือตีความใหม่ในมุมใหม่ที่น่าสนใจเท่าไหร่ ตามประสา Ridley Scott ที่ไม่ใช่สายเล่าเรื่องหวือหวาหรือตีลังกาหักมุม แต่ทำออกมาแล้วมีพลัง
2. ภาพ / Visual Effects
ถึงแม้ว่าในส่วนของเนื้อเรื่องและส่วนของฉากพะบู๊จะขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคล (บางคนอาจจะได้ความรู้ใหม่ บางคนอาจจะไม่ได้รู้อะไรใหม่เลย บางคนอาจจะบอกสนุกสะใจ บางคนอาจจะบอกน่าเบื่อ) แต่สิ่งหนึ่งที่เราการันตีได้ว่าคุ้มค่าตั๋วชัวร์ๆ คือการตีตั๋วเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ในระบบสามมิติ (3D)
เพราะฉากเมืองในหนัง ยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างและสมจริงมาก ภาพสามมิติสวยงามจริงๆ ดูแล้วรู้เลยว่านี่เป็นงานละเอียด เพราะเขาทำสามมิติแม้แต่เศษฝุ่นเศษหินที่บินผ่านจอ เรียกได้ว่าสามมิติมันทั้งเรื่อง กองทัพก็ยังกับหุ่นขี้ผึ้งวิ่งได้ (จนรู้สึกว่าบางฉากก็เยอะเกินไป แต่คิดซะว่า เขาคืนกำไรให้เราละกัน) ต่อให้ใครคนไหนจะรู้สึกเฉยๆ กับเนื้อหาหนังยังไง อย่างน้อยเข้าไปดูภาพอลังๆ เราว่าก็คุ้มอยู่นะ โดยเฉพาะฉากสงครามฉากแรก เราชอบเลยทีเดียว (ย้ำว่า แนะนำให้ดูสามมิติอย่างยิ่ง!)
หนังมีความยาว 150 นาที แต่เราไม่รู้สึกนานเว่อร์ขนาดนั้น อาจมีบางช่วงที่ดูอืดๆ บ้าง เช่น ช่วงที่โมเสสมีครอบครัว แต่ก็ไม่ได้เลวร้าย ที่สำคัญก็อย่างที่บอก หนังเขาภาพสวย ดูแล้วเพลิน ตื่นตาตื่นใจ ทั้ง CG และ 3D มาเต็ม ฉากในหนังเป็นการจำลองเมืองในสมัยนั้นที่น่าประทับใจและเกินความคาดหวังของเราจริงๆ (จะว่าไปแล้ว 150 นาทีนี่ความยาวเท่ากับ Saint Laurent ที่เราเพิ่งดูไป ซึ่งพูดได้เลยว่าความรู้สึกตอนแช่ก้นในโรงหนังของทั้งสองเรื่องนี้ค่อนข้างต่างกันมาก)
3. นักแสดง
ส่วนข้อเสียที่เห็นได้ชัดและคิดว่าหลายคนคงเห็นตรงกับเราก็คงเป็นเรื่องที่ผู้กำกับฯ ใช้นักแสดงไม่คุ้ม เช่น Sigourney Weaver (จาก Aliens และ Avatar) ที่มารับบทแม่ของ Ramses, Ben Kingsley (จาก Shutter Island, Hugo, และ Iron Man 3) ที่มารับบทผู้เฒ่าฮิบรู, Indira Varma (จากซีรีส์ Game of Thrones) ที่มารับบทหมอดูพยากรณ์ไร้สาระ, และโดยเฉพาะ Aaron Paul (จาก Mission: Impossible III และซีรีส์ Breaking Bad) ที่เหมือนจะได้บทเด่นละ แต่ก็ไม่เด่นอยู่ดี (คือ แว้บไปแว้บมาตอนที่แอบดูโมเสสคุยกับพระเจ้า แต่ก็แค่นั้น…)
แม้แต่พระเอกและตัวร้ายของเรื่องอย่าง Christian Bale กับ Joel Edgerton ถึงแม้จะแสดงดีแค่ไหน ก็ยังไม่โดดเด่นเท่าภัยพิบัติที่พระเจ้าสร้างขึ้น ดังนั้น บทโมเสสจากเรื่องนี้ คงไม่ช่วยให้ Christian Bale ได้เข้าชิงออสการ์อย่างที่บางคนเคยพยากรณ์ไว้ก่อนหนังเข้าฉาย
ทั้งนี้ทั้งนั้น อาจเป็นเพราะผู้กำกับฯ อยากให้ความสำคัญกับองค์ประกอบ Visual Effect มากกว่าความสามารถของนักแสดง อันนี้ก็มิอาจทราบได้
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ (ในศาสนาเขา) คือ การเลือกให้พระเจ้าปรากฏกายในร่างเด็กที่อารมณ์ไม่เสถียร เดี๋ยวขี้เล่น เดี๋ยวเกรี้ยวกราด ซึ่งในมุมมองของเรานั้น เราคิดว่า คนทำหนังมีสิทธิที่จะถ่ายทอดพระเจ้าแบบไหนก็ได้ตามจินตนาการและสารที่ต้องการจะสื่อกับคนดู
หนังส่วนใหญ่เลี่ยงดราม่าโดยการเลี่ยงที่จะปรากฏโฉมของพระเจ้าในหนังของตน แต่ Ridley Scott ต้องการให้โมเสสสื่อสารกับพระเจ้าแบบตัวเป็นๆ เขาจึงจำเป็นต้องตัดสินใจว่าจะรังสรรค์พระเจ้าในฉบับของตนเป็นแบบไหน และการเลือกเด็กอายุ 11 ขวบ มาเป็นตัวแทนของพระเจ้า ก็เป็นทางเลือกของเขาที่เราควรเคารพ สุดท้ายแล้วมันไม่มีถูกไม่มีผิด เพราะไม่มีใครเคยรู้เคยเห็น ว่าพระเจ้าตัวตนจริงๆ มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร
และบางทีการที่เขาเลือกให้พระเจ้าอยู่ในร่างเด็ก อาจเป็นเพราะเขาต้องการให้พระเจ้าของเขามีความ “บริสุทธิ์” หรือ “ไร้เดียงสา” ก็เป็นได้
4. สรุปภาพรวม
โดยสรุป หนัง Exodus: Gods and Kings เป็นหนังที่คุ้มค่าตั๋วอย่างไม่ต้องคิดมาก ภาพเหนือจินตนาการ และการแสดงของ Christian Bale ก็ยังดีไร้ที่ติเช่นเคย ส่วนในเรื่องของความอินก็เป็นเรื่องส่วนบุคคลที่คุณต้องพิสูจน์กันเองว่าชอบไม่ชอบ (เราเป็นคนยึดหลักว่า ทั้งหนังทั้งหนังสือ กูจะอินหรือไม่อินนั่นอีกเรื่อง แต่สิ่งสำคัญคือมึงต้องสนุก)
ในหนังเขาแฝงข้อคิดในเรื่องของความเชื่อว่า คนเราอาจถูกปลูกฝัง (หรือ inception) ให้ยึดมั่นในศาสนาหรือพระเจ้าตั้งแต่เกิด แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าเราจะต้องยึดติดกับสิ่งนั้นไปซะทุกอย่างจนขาดความเป็นตัวของตัวเอง วันนึงที่เราโตขึ้น เรามีสิทธิที่จะเลือกว่าสถานการณ์ไหนเราจะเชื่อพระเจ้า สถานการณ์ไหนเราจะเชื่อพ่อแม่ และในสถานการณ์ไหนที่เราควรจะเชื่อในตัวเอง
การตัดสินใจไปดู Exodus: Gods and Kings ของคุณก็เช่นกัน คุณไม่จำเป็นต้องเชื่อคำวิจารณ์ของเราทุกอย่าง เราก็แค่หวังว่าคนอ่านจะได้ประโยชน์จากบทความของเราไปเป็น source ในการตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะดูหรือไม่ดู
อย่างไรก็ตาม… ถ้าเกิดดู เราแนะนำ 3D นะ ย้ำอีกทีว่า อะล้าอลัง~
ป.ล. ดูแล้วสงสารม้าทุกตัวในเรื่อง
41 comments