Harry Potter เป็นทั้งหนังสือและหนังในดวงใจของเรามาแต่เด็ก ตอนที่ภาค 7.2 จบลง ก็รู้สึกใจหาย และยังมีความรู้สึกว่า ยังอยากอยู่ในโลกเวทมนตร์ของ J.K. Rowling ต่อไป จนต้องย้อนอ่านและดู Harry Potter ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ตอนที่หนัง Fantastic Beasts and Where to Find Them เข้าฉายเมื่อสองปีที่แล้ว เราก็ตื่นเต้นมากที่จะได้กลับไปโลกผู้วิเศษนั้นอีกครั้ง (ในแบบที่ไม่ใช่เรารู้ตอนจบอยู่แล้ว) โดยตัวหนัง FB นี้ J.K. Rowling ก็ลงมือเขียนบทภาพยนตร์เอง และกำกับโดย David Yates ผู้กำกับ Harry Potter ภาค 5, 6, 7.1, และ 7.2 โดยเล่าเรื่องราวประมาณ 70 ปีที่เกิดขึ้นก่อนหน้าเรื่อง Harry Potter เกี่ยวกับการผจญภัยของ Newt Scamander (พระเอกออสการ์ Eddie Redmayne จาก The Theory of Everything และ The Danish Girl) ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์วิเศษ
สำหรับเรา Fantastic Beasts ภาคแรก ถือว่าทำออกมาได้โอเค ถึงแม้จะไม่รู้สึก Wow! เท่ากับตอนที่ดู Harry Potter (ส่วนหนึ่งอาจเพราะเราโตขึ้นมั้ง) แต่โดยรวมก็เพลินตาเพลินใจ สาแก่ใจแฟน Harry Potter อย่างเราระดับหนึ่ง แต่ที่โดดเด่นอย่างยิ่งก็คืองานโปรดักชั่นดีไซน์ วิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ และสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ต่าง ๆ รวมถึง 3D และ CG ที่วิจิตรตระการตาอลังการงานสร้างสมกาลเวลา-สมยุคสมสมัย
ทีนี้ J.K. Rowling แพลนไว้ว่าจะทำ Fantastic Beasts รวมทั้งหมด 5 ภาค แต่ละภาคห่างกันประมาณ 2 ปี สำหรับภาค 2 ใช้ชื่อตอนว่า Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald เรื่องราวเกิดขึ้น 6 เดือนต่อมาจากภาคแรกหลังจากที่ Gellert Grindelwald (Johnny Depp จาก Pirates of the Caribbean) ถูกจับและ Credence Barebone (Ezra Miller จาก The Perks of Being a Wallflower) สูญสลายไปต่อหน้าต่อตา
ภาคสองก็จะเล่าตั้งแต่ Grindelwald หนีจากการจับกุม และตามหา Credence ซึ่งกำลังตามหาแม่ผู้ให้กำเนิดของเขาที่ปารีส ซึ่งในขณะเดียวกัน Tina Goldstein (Katherine Waterston จาก Alien: Covenant) ก็กำลังตามหา Credence นอกจากนี้ Albus Dumbledore (Jude Law จาก Sherlock Holmes) ยังไหว้วานให้ Newt Scamander ไปตามหา Credence ก่อนที่ Grindelwald จะเจออีกด้วย
ส่วนเพื่อนเก่าอย่าง Jacob Kowalski (Dan Fogler) และ Queenie Goldstein (Alison Sudol) ก็มีบทบาทในภาคนี้ด้วยเมื่อพวกเขาเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาเยี่ยม Newt นอกจากนี้ก็ยังมีตัวละครใหม่อีกมากมาย เช่น Nagini (Claudia Kim จาก Avengers: Age of Ultron) สมัยยังไม่เป็นงูเต็มตัว เป็นคนรักของ Credence, Theseus Scamander (Callum Turner จาก Green Room) มือปราบมาร พี่ชายของ Newt, และ Leta Lestrange (Zoë Kravitz จาก Divergent) เพื่อนสนิทสมัยเรียนของ Newt ฯลฯ
คือต้องบอกว่า มีตัวละครเยอะมาก แล้ว Fantastic Beasts มันต่างจาก Harry Potter ตรงที่มันไม่ได้มีแค่ Harry กับ Voldermort ที่เป็นตัวเดินเรื่อง แต่ตัวละครแทบทุกตัวใน Fantastic Beasts จะมีเรื่องเล่าเป็นของตัวเอง (เอาไปสร้างจักรวาลได้อีกไม่รู้จบ) ทำให้มี subplot เยอะแยะ จนไม่รู้จะไปโฟกัสที่อะไรก่อนดี (ถ้าเป็น Harry Potter มันยังมีหนังสือนิยายมาก่อน คนดูหนังอาจจะตามทันหรืออินง่ายกว่าหน่อย) แต่บางคนมาแล้วก็หายไปเลย เช่น Bunty ที่เป็นคนช่วยเลี้ยงสัตว์วิเศษของ Newt (แต่คิดว่าอาจจะมามีบทบาทในภาคหน้า) ซึ่งในแง่หนังสือ มันอาจจะพอเข้าใจได้ แต่พอมันเป็นหนัง แล้วมาเจอแบบนี้ รู้สึกแหม่ง ๆ บอกไม่ถูก
ที่แน่ ๆ รู้สึกว่า Newt โดนกลืนไปเลย ทั้งที่จากไตเติ้ลหรือชื่อเรื่อง Fantastic Beasts มันน่าจะเป็นเรื่องของ Newt กับการหาข้อมูลสัตว์วิเศษมาเขียนหนังสือ แต่ตอนนี้คือ Credence เหมือนจะเป็นพระเอก ความสนใจของทุกคนพุ่งมาเป็นเส้นตรงที่ Credence ผู้มีปมเรื่องชาติกำเนิด (อารมณ์เหมือน Luke Skywalker กับ Rey ตามหาพ่อแม่) ยิ่งตอนจบที่เหมือนตั้งใจจบให้คนดูอยากดูภาคต่อในทันที (เพราะปลุมต่อมเสือกหนักมาก) ก็ยังทำให้ทุกคนดูจบแล้วให้ความสนใจกับ Credence ไปอีก แทบไม่มีใครพูดถึง Newt แล้ว
Grindelwald ก็ออกเยอะขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะองก์สุดท้ายที่ได้ใช้ทักษะการพูดโน้มน้าวออกมาขายตรงกลางอิมแพคอารีน่า อันนี้ยิ่งทำให้รู้สึกว่าพล็อตของ Fantastic Beasts มีความซ้ำ ๆ คล้าย ๆ กับ Harry Potter หน่อย ๆ ละ แต่ Voldermort กับ Grindelwald จะแตกต่างกันเล็กน้อยในด้านแนวคิดและวิธีการ (ถ้าจะบอกว่า Voldermort เหมือน Hitler ส่วน Grindelwald เหมือน Trump ก็ไม่ผิด) แต่สุดท้ายก็ถือว่าเป็นพื้นที่วิพากษ์วิจารณ์การเมืองของ J.K. Rowling ที่น่าชื่นชมชิ้นหนึ่ง
ในความยาวสองชั่วโมงกว่า ถ้าตัด subplot และการโชว์ความยิ่งใหญ่วิจิตรตระการตาที่ขาด ๆ เกิน ๆ ออกไปบ้าง หนังภาคนี้จะเหลือเนื้อหาหลักจริง ๆ ที่นิดเดียวจริง ๆ ประมาณ 20-30 นาทีก็จบ
ความรู้สึกของเราคือ เราชอบ Harry Potter มากนะ ทั้งหนังและหนังสือ แต่ Fantastic Beasts นี่ถือว่า downgrade เล็กน้อย โดยเฉพาะภาคสองนี้ มีสิ่งเดียวที่อัพเกรดคือ โปรดักชั่น ภาพสามมิติ และซีจี นั่นแหละ ที่มันดีมากจริง ๆ (แหม ก็ต้องดีขึ้นตามยุคสมัยอยู่แล้วนี่เนอะ) ซึ่งตรงนี้เราโชคดีที่เลือกดูโรง IMAX 3D และเดิมก็ชื่นชอบโลกที่ J.K. แกเคยสร้างไว้อยู่มากโข (บุญเก่าทำมาดี) ไม่งั้นคงรู้สึกเบื่อไปกว่านี้
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 7.5/10 (บวกคะแนนพิศวาสจากบุญเก่าแล้ว)
41 comments
Comments are closed.