“LIFE IS LIKE A BOX OF CHOCOLATES. YOU NEVER KNOW WHAT YOU ARE GOING TO GET.”
นี่เป็นประโยคคำคมตลอดกาลจากภาพยนตร์ดราม่าที่ดีที่สุดในโลก เรื่อง Forrest Gump (1994) ซึ่งได้รับรางวัล Oscar ถึง 6 ตัว ได้แก่
- ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
- ผู้กำกับยอดเยี่ยม (Robert Zemeckis : ผู้กำกับ Back to the Future)
- ดารานำชายยอดเยี่ยม (Tom Hanks)
- การตัดต่อภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
- เอฟเฟกต์ยอดเยี่ยม
- และบทดัดแปลงยอดเยี่ยม (ดัดแปลงจากนิยาย comedy เชิงเสียดสีสังคมของ Winston Groom)
Forrest Gump เป็นหนังชีวิต เสียดสีสังคมอเมริกันสมัยนั้น และซ่อนปรัชญาในการใช้ชีวิตไว้มากมาย เช่น
ขนนก คือตัวแทนของเรื่องเล่าเชิงสารคดีหรืออิงเรื่องจริง (tale+feature = feather)
นอกจากนี้ขนนกสีขาวยังเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของ character ของ Forrest Gump ตัวละครเอกที่มีความนึกคิดและการกระทำอันบริสุทธิ์ ชีวิตของเขานั้นเบาหวิวไม่ต่างจากสติปัญญา I.Q. 75 ของเขา เขาไม่คิดอะไรกับชีวิตมาก อยากทำอะไรก็ทำ อยากพูดอะไรก็พูด มองโลกในแง่ดี ชีวืตจึงลอยปลิวไปมาตามสายลมที่เปลี่ยนแปลงของสังคมอเมริกาในยุค 50 – 70
ดังนั้นฉากแรกของเรื่อง จึงปรากฏภาพขนนกลอยอยู่บนท้องฟ้า ปลิวเคว้งคว้างไปมาตามสายลม กระทบสิ่งต่างๆรอบข้าง และร่วงลงแทบรองเท้า Nike คู่โปรดของ Forrest Gump ที่นั่งอยู่บนม้านั่งสำหรับรอรถประจำทาง
Forrest Gump ทักทายหญิงแปลกหน้าผิวดำที่ม้านั่งอย่างซื่อๆ เขายื่นกล่องช็อกโกแล็ตให้เธอ “Do you want a chocolate?” หญิงคนนั้นส่ายหัว เขาพูดกับเธอต่อว่า “My mama always said life was like a box of chocolates. You never know what you are going to get.”
หญิงผิวดำคนนั้นมอง Forrest ว่าเขาเป็นคนเพี้ยน แล้วก้มหน้าก้มตาอ่านนิตยสาร People ต่ออย่างไม่สนใจ แล้ว Forrest ก็ทักรองเท้าแสนสะอาดสีขาวโอโม่ของเธอว่า ดูเป็น comfortable shoes (ซึ่งต่างจากรองเท้า Nike คู่เขรอะของเขา) แล้วเขาก็เอ่ยถึงแม่ของเขาอีกครั้งว่า “My mama always said you can tell a lot about a person by their shoes. Where they’re going. Where they’ve been.”
ซึ่งประโยคคำพูดง่ายๆ ของเขา สื่อความหมายออกมาได้อย่างลึกซึ้ง รองเท้าของผู้หญิงคนนี้ขาวสะอาดราวกับไม่เคยผ่านอะไรหนักหนาสาหัสมาก่อนเลยในชีวิต ในขณะที่รองเท้าของ Forrest นั้นเกรอะกรังไปด้วยขี้ดินขี้โคลน บ่งบอกชัดเจนว่ารองเท้าคู่นี้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้วกว่าทั่วทุกสารทิศ
ดังนั้นประโยค “Life is like a box of chocolates. You never know what you are going to get.” จึงสื่อได้อีกว่า ชีวิตเปรียบเสมือนกล่องช็อกโกแล็ต คุณไม่มีทางรู้ว่าคุณจะเจอกับช็อกโกแล็ตรสอะไร จนกว่าคุณจะเปิดกล่องนั้น เหมือนกับที่คุณไม่มีทางรู้ destiny ของคุณเอง จนกว่าคุณจะเปิดใจและใช้ชีวิตไปกับมัน นั่นจึงไม่แปลกที่ผู้หญิงผู้สวมใส่รองเท้าขาวสะอาดคนนี้จะปฏิเสธช็อกโกแล็ตของ Forrest
อย่างไรก็ดี มันก็ทำให้ Forrest นึกย้อนไปถึงรองเท้าคู่แรกในชีวิต ที่เขาเรียกมันว่า “Magic Shoes” โดย Forrest เล่าเรื่องของเขาตามความเชื่อและความเข้าใจของตัวเอง เริ่มจากวันที่เขาใส่เหล็กดามขา เพื่อดัดหลังที่งอเป็นเครื่องหมาย question mark ของเขาให้ตรง
ซึ่งหนังได้สอดแทรกเสียดสีการเมืองไปด้วยว่า “His legs are strong but his back’s as crooked as a politician.”
เขายึดถือและทำตามคำสอนของแม่มาตลอดชีวิต แม่สอนให้เชื่อว่าเขาไม่ได้แตกต่างจากเด็กคนอื่น การที่แม่พยายามเลี้ยงเขาให้เหมือนเด็กธรรมดาทั่วไปเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เขามีหัวใจที่สมบูรณ์ เติบโตขึ้นและใช้ชีวิตในโลกได้อย่างปกติสุข ทั้งๆ ที่สังคมรอบตัวเวลานั้นหาความปกติสุขไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
บ้านของ Gump เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาพักอาศัย จึงมีคนมากมายหลายแบบแวะเวียนมาร่วมชายคาด้วยตลอดปี จนกระทั่งวันหนึ่ง มีชายคนหนึ่งมาบ้านของ Gump พร้อมกับกีต้าร์ตัวหนึ่ง Forrest ชอบเสียงกีต้าร์มาก ชายคนนั้นดีดกีต้าร์ให้ Forrest เต้นตามเสียงของดนตรี และวันนั้นเอง ชายคนนั้นก็ได้รับแรงบันดาลใจจากท่าเต้นสุดพิสดารของ Forrest
ต่อมาชายคนนั้นกลายเป็นนักร้องที่มีท่าเต้นเป็นเอกลักษณ์และมีชื่อเสียงระดับโลก ในนาม The King หรือ “เอลวิส เพรสลีย์” แต่ดนตรี rock and roll ถือเป็นดนตรีปีศาจในสมัยนั้น ในระยะแรก เอลวิสจึงไม่เป็นที่ยอมรับและถูกโจมตีจากกระแสสังคมอย่างรุนแรง Forrest จึงได้กล่าวไว้ในเรื่องอย่างใสซื่อว่า “It’s hard to be a king.”
วันที่ Forrest ขึ้นรถโรงเรียนครั้งแรก ไม่มีเด็กคนไหนยอมให้เขานั่งด้วย มีก็แต่ Jenny เสียงของเธอคือเสียงที่ไพเราะที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมาในชีวิต “You can sit here if you want to.” คำพูดสั้นๆ กลับทำให้เธอแตกต่างไปจากคนทั้งโลกในสายตาของ Forrest แต่ Jenny เป็นสาวช่างฝัน อยากมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ นั่นเป็นสิ่งที่ Forrest ให้เธอไม่ได้ เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นชายในฝันที่เพียบพร้อมของใคร เขาจึงไม่สามารถเข้าไปอยู่ในหัวใจของ Jenny ได้
ที่น่าสงสารคือ Jenny ผู้ซึ่งเป็นเด็กที่มีร่างกายครบสมบูรณ์และสมองปกติ แต่กลับโชคร้าย สูญเสียแม่ตั้งแต่เด็ก ต้องอยู่กับพ่อขี้เมา ถูกพ่อข่มขืนและกดขี่มาตลอดทั้งชีวิต นั่นจึงทำให้เธอพิการทางด้านจิตใจ เธอเชื่อว่าชีวิตคืออิสรภาพ แต่เธอต้องหนีอยู่ตลอดเวลา เธอจึงภาวนาอยู่เสมอว่า ขอให้ตัวเองเป็นนกที่บินหนีไปได้ไกลแสนไกล
Jenny ของ Forrest… เธออยากเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียง แต่สุดท้ายกลับทำได้แค่อาชีพที่ไร้เกียรติ เธอปล่อยชีวิตล่องลอยเหลวแหลกไปตามกระแสสังคม เข้าไปพัวพันกับกลุ่มบุปผาชนหรือฮิปปี้ ชีวิตเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงและสับสน ติดยา และจบชีวิตลงเพราะติดเชื้อไวรัส HIV ทั้งๆ ที่ชีวิตนี้ Jenny ยังไม่ได้เจอช็อกโกแล็ตที่ถูกใจให้ตัวเองเลยสักชิ้น
ตั้งแต่เล็ก Jenny อยู่เคียงข้าง Forrest มาโดยตลอด เธอสอนให้เขาปีนต้นไม้ อ่านหนังสือ และทุกครั้งที่เขาถูกเด็กเกเรกลั่นแกล้ง เธอจะบอกให้ Forest วิ่ง วิ่ง และ…วิ่ง จนวันหนึ่ง Forrest วิ่งหนีเด็กเกเรเข้าไปในสนามอเมริกันฟุตบอล จับพลัดจับผลูได้เข้าร่วมทีม และต่อมาก็สามารถเข้า college ได้ เพราะกีฬาอเมริกันฟุตบอลนี้เอง
Forrest เขาบอกด้วยว่า “College was a confusing time.” เขาไม่ได้เล่าถึงชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยเท่าไหร่นักนอกจากการเล่นอเมริกันฟุตบอลให้กับทีมของมหาวิทยาลัย และกล่าวถึงการกีดกันคนผิวสี (นิโกร หรือที่ในหนังเรียกว่า coons) ไม่ให้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย
นอกจากนี้หนังยังเล่าถึงเหตุการณ์ทางการเมืองในยุคนั้น ทำให้เห็นว่ามีการลอบยิงประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนแล้วคนเล่าทุกสมัย ตั้งแต่ประธานาธิบดี Wallace, Kennedy, Johnson, Nixon, Ford, และ Carter
เมื่อเล่าถึงชีวิตวัยเรียนจบ ก็ตัดฉากมาที่ม้านั่ง รถบัสสาย 4 มา หญิงผิวเข้มคนนั้นก็จากไปโดยที่เธอก็ไม่ได้อะไรจากเรื่องเล่าของ Forrest เลย แต่แล้วก็มีหญิงสาวคุณแม่ลูกหนึ่งอยู่ฟังต่อและให้ความสนใจกับเรื่องเล่าของ Forrest เขาจึงเล่าต่อถึงวันที่เขาไปหา Jenny ที่มหาวิทยาลัยหญิงล้วนของเธอ เขาเล่าว่าเขาได้เข้า All-American Team และประสบความสำเร็จถึงขั้นได้เข้าพบประธานาธิบดี Kennedy ที่ทำเนียบขาว
หลังจากเรียนจบ Forrest ไปเป็นพลทหาร วันที่เขาขึ้นรถทหารก็เหมือนวันแรกที่เขาขึ้นรถโรงเรียน คือทุกคนมองเขาเป็นไอ้งั่งแปลกประหลาด และไม่มีใครยอมให้เขานั่งด้วย แต่ Forrest ก็ได้รู้จักกับเพื่อนที่ดีที่สุด Bubba ชายผิวสีที่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับกุ้งและมีความฝันจะเป็นเจ้าของธุรกิจเกี่ยวกับกุ้ง
ก่อนหน้าที่ Forrest จะถูกกองทัพส่งไปเวียดนาม เขาไปหา Jenny และบอกรักเธอ แต่เธอบอกว่า “Forrest, you don’t know what love is.” และเธอก็ขอให้เขาสัญญากับเธอว่า “If you are in trouble, don’t be brave.” และวันนั้น Forrest ต้องแยกจาก Jenny ไปอีกครั้ง เขาไปร่วมรบในสงครามเวียดนาม ทั้งๆ ที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่า สงครามคืออะไร และรบไปแล้วได้อะไร
ที่เวียดนาม เขาได้พบกับผู้หมวด Dan Taylor ทหารเก่งกล้าที่ผ่านสมรภูมิมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ผู้หมวดมีความภาคภูมิใจในศักดิ์ศรีและเกียรติยศเหนือสิ่งอื่นใด เชื้อชาติทหารทำให้เขาเป็นคนบ้าสงคราม คิดลบ และมองโลกแคบ วันที่ระเบิดลงกองของเขา เขาสั่งให้ทุกคนวิ่งหนี
Forrest ที่วิ่งหนีไปจนถึงแม่น้ำแล้ว จู่ๆ เขาก็นึกถึง Bubba ขึ้นมา แล้วเขาก็วิ่งกลับเข้าไปหาระเบิด เพื่อไปช่วยเพื่อนรักอย่างไม่รักตัวกลัวตาย สิ่งเดียวที่เขากลัวตอนนั้นคือกลัวจะไม่เจอ Bubba อีก เขาได้ช่วยชีวิตเพื่อนร่วมสนามรบ 2-3 คน รวมถึงผู้หมวด Dan ด้วย แต่ข่าวร้ายคือ เขาช่วย Bubba ไว้ไม่ได้ เขาเสียใจมากที่เสียเพื่อนรักไป ฉากนี้ทำให้เห็นว่า แม้แต่คนไอคิวต่ำอย่าง Forrest ยังรู้ว่า “Best friend ain’t something you can find just around the corner.”
ฉากตัดมาที่ม้านั่งอีกครั้ง ลุงแปลกหน้านั่งฟังเรื่องของ Forrest อย่างสนอกสนใจ Forrest เล่าต่อว่า เขาถูกส่งกลับมารักษาตัวที่ค่าย เขาไม่ได้เห็นเงินที่ควรจะได้เลยสักแดง แต่กองทัพให้เขาทานไอศกรีมได้ไม่จำกัด เขามีความสุขกับไอศกรีม แต่ผู้หมวด Dan กลับโยนไอศกรีมทิ้งลงโถ
จากสนามรบนั้น ผู้หมวด Dan ถูกระเบิดขาขาดทั้งสองข้าง กลายเป็นคนพิการขาด้วนที่ไม่มีใครให้ความเคารพนับถือ เขาหัวใจแตกสลายและรับไม่ได้กับสภาพร่างกายที่ไม่สมประกอบ เขาโทษ Forrest ที่ช่วยชีวิตเขา เขาอยากตายมากกว่าตกอยู่ในสภาพคนพิการไร้ค่า
หมวด Dan เชื่อว่า “We all have a destiny. Nothing just happens. It’s all part of plan.” กล่าวคือ เชื่อว่าทุกคนมีโชคชะตาที่พระเจ้าลิขิตมา ซึ่งเขาสมควรตายอย่างสมเกียรติในสนามรบเหมือนบรรพบุรุษของเขา หลังจากนั้นหมวด Dan ก็ถูกส่งกลับบ้าน ใช้ชีวิตไปกับเหล้า บุหรี่ ผู้หญิง และความชิงชังในความล้มเหลว
ในค่ายรักษาตัว Forrest ได้รู้จักกับกีฬาที่ชื่อว่า “ปิงปอง” เพื่อนทหารของเขาสอนเทคนิคง่ายๆแค่ว่า “No matter what happens, never, ever take your eyes of the ball.” ซึ่ง Forrest ก็ทำตามนั้น และเขาก็ตั้งใจกับการเล่นปิงปองเรื่อยมา
ถ้าจะเปรียบลูกปิงปองเหมือนเป้าหมายก็ไม่ผิด ฉาก Forrest ตีปิงปองแฝงนัยยะสอนว่า คนเราควรจะตั้งใจและใจจดใจจ่อกับมัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็อย่าหลุดโฟกัสจากเป้าหมาย แล้ววันหนึ่งเราจะประสบความสำเร็จ อย่างที่ Forrest สำเร็จ
Forrest ได้เข้าพบประธานาธิบดี Johnson และได้รับเหรียญกล้าหาญ เขามีโอกาสได้ขึ้นพูดปราศรัยบนเวทีใหญ่ต่อหน้าคนเป็นหมื่นแสนคนที่ต่อต้านสงคราม แต่ทุกคนได้ยินเขาพูดแค่ว่า “ผมบอกได้เท่านี้” สื่อความได้ว่า คำพูดของคนอย่างเขานั้น ต่อให้พูดดังแค่ไหน ก็ไม่มีใครได้ยิน (หรือไม่มีใครฟัง) และที่นั่นเอง เขาได้พบกับ Jenny อีกครั้ง เธออยู่ในกลุ่มเหล่าบุปผาชนหรือฮิปปี้ แต่ช่วงเวลาสั้นๆ ที่เขาได้อยู่กับเธอ มันคือช่วงเวลาที่เขามีความสุขที่สุดในชีวิต
Forrest ประสบความสำเร็จในการเล่นปิงปองที่เขารัก เขาได้เข้าร่วม All-American Ping-Pong Team และได้เป็นตัวแทนไปแข่งขันที่ประเทศจีน ซึ่งในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามตีปิงปองเพื่อชัยชนะ Forrest ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชนะไปแล้วเขาได้อะไร อย่างไรก็ตาม การไปเยือนประเทศจีนครั้งนั้น ตามประวัติศาสตร์ ถือเป็นการแข่งขันที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างชาติมหาอำนาจทั้งสอง ที่เขาเรียกกันว่า นโยบายการทูตปิงปอง (Ping-pong Diplomacy) ของประธานาธิบดี Nixonในปี 1972
หลังจากนั้น Forrest ก็ได้ออกโทรทัศน์กับ John Lennon แห่งวง The Beatles ด้วย มีการเล่นบทรับมุกกับ John Lennon และเขายังเป็นแรงบันดาลใจให้ John Lennon แต่งเพลง Imagine ในเวลาต่อมา
Forrest เป็นคนซื่อที่ทำอะไรก็จะทำด้วยหัวใจ เขาเคยสัญญากับ Bubba ว่าจะออกไปหากุ้งด้วยกัน เขาทำตามสัญญานั้น เขานำเงินไปซื้อเรือ ตั้งชื่อเรือว่า Jenny และออกทะเลไปหากุ้ง ตอนนั้นใครๆ ก็หาว่า “ไม่โง่ก็บ้า” แต่เขาจะพูดเสมอว่า “Stupid is as stupid does.” ตามที่แม่สอน ซึ่งแรกๆ เขาก็หากุ้งไม่ได้เลย หรือถ้าได้ก็ได้ในปริมาณที่น้อยมากๆ แต่เขาไม่เคยย่อท้อ เขายังคงออกหากุ้งต่อไป
วันหนึ่งผู้หมวด Dan ก็มาหาและร่วมเรือด้วยตามสัญญาเช่นกัน เขาทั้งสองหากุ้งไม่ได้เลย ผู้หมวดบอกให้ “Pray for shrimp.” ด้วยความซื่อ Forrest จึงไปร้องเพลงที่โบสถ์ทุกวันอาทิตย์ จากนั้นพระเจ้าก็ประทานพายุฝนลูกใหญ่ซัดกระหน่ำมาในคืนนั้น ผู้หมวดตะโกนบอกพระเจ้าอย่างบ้าคลั่งว่า “You’ll never sink this boat!”
ในที่สุดพวกเขาผ่านพ้นมรสุมร้ายนั้นมาได้ เรือของพวกเขาเป็นเรือลำเดียวที่รอดจากพายุ และฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามเสมอ ตั้งแต่นั้นมาพวกเขาก็ตกกุ้งได้มหาศาล กลายเป็นเศรษฐีพันล้าน เจ้าของแบรนด์ชื่อดัง Bubba-Gump Shrimp Corporation
ฉากตัดมาที่ม้านั่งอีกครั้ง ลุงหัวล้านจากไป หญิงชรานั่งฟังเรื่องของ Forrest ต่ออย่างมีความสุข เขาจึงเล่าต่อถึงเรื่องผู้หมวด Dan ที่กระโดดลงไปแหวกว่ายในน้ำอย่างมีความสุข Forrest บอกว่าผู้หมวด Dan ได้คืนดีกับพระเจ้าอีกครั้ง หลังจากที่ได้เปลี่ยนวิธีคิด หันมามองโลกในแง่ดี ยอมรับสภาพความเป็นจริง และเริ่มเดินในทางที่ถูกต้อง ผู้หมวด Dan ได้รู้ว่าชีวิตมีค่ามากกว่านั้น หัวใจพ้นจากสภาพความพิการและพร้อมที่จะเผชิญโลกอีกครั้ง ในตอนท้ายเขาได้สั่งทำขาใหม่ที่ Forrest เรียกมันว่า “Magic Legs”
แม่ของ Forrest สอนไว้ก่อนตายว่า “You make your own destiny. You have to do the best with what God gave you.” ตอนแรกเขาไม่เข้าใจ เพราะคำสอนของแม่ก็ค่อนข้างขัดแย้งจากที่ผู้หมวด Dan เคยพูด
แต่แม่ของเขามีวิธีสอนที่ทำให้เขาเข้าใจง่ายได้เสมอ เขาถามแม่ว่า “What’s my destiny?” แม่ตอบว่า “You’re going to have to figure that out for yourself. Life is like a box of chocolates. You never know what you are going to get.”
ซึ่งตรงนี้เองที่ทำให้เราเข้าใจมากขึ้นว่าชีวิตมันเหมือนกล่องช็อกโกแล็ตอย่างไร…
ฉากตัดมาที่ม้านั่ง รถประจำทางสาย 7 มา หญิงชราไม่รีบขึ้นเหมือนหญิงผิวเข้มคนแรก หญิงชราอยากฟังเรื่องของ Forrest ต่อ เธอบอกว่า ถึงจะไม่ได้ขึ้นคันนี้ เดี๋ยวอีกคันมันก็มาอยู่ดี
Forrest จึงเล่าต่อว่าผู้หมวด Dan จัดการถือหุ้นกับบริษัท Apple ให้ Forrest ซึ่งเขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า Apple คือบริษัทอะไร ลงทุนเกี่ยวกับอะไร และยิ่งใหญ่มหาศาลขนาดไหน เขาไม่เคยยี่หระต่อการประสบความสำเร็จเลยแม้แต่น้อย เขาขอแค่มีความสุขและสบายใจว่าจะมีเงินพอกินพอใช้ตลอดไปก็พอ เขานำรายได้บางส่วนไปบริจาค เขารับตัดหญ้าฟรี ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ
จนวันหนึ่ง Jenny ก็กลับมาหาและมาอยู่กับเขา Jenny เหนื่อยมามากแล้วเหลือเกินกับชีวิตที่เหลวแหลก เธอแค่หนีชีวิตที่วุ่นวายมาหาความสุขสงบที่บ้านของ Forrest ซึ่ง Forrest ไม่สนใจว่าเธอกลับมาทำไม
เขาเปลี่ยนดอกไม้ใส่แจกันให้เธอทุกวัน เธอก็ซื้อรองเท้าวิ่งให้เขา และรองเท้าคู่นั้นก็เป็นรองเท้าที่เขารักสุดหัวใจ เป็นรองเท้าที่เขาใส่วิ่งข้ามประเทศ เป็นรองเท้าคู่เกรอะกรังที่เขาใส่ในวันที่เขากำลังนั่งเล่าเรื่องราวของเขาให้คนแปลกหน้าฟังที่ม้านั่งนี้ด้วย ความสุขของ Forrest คือความรัก และความรักของเขาก็คือ Jenny เขารู้แต่ว่าการที่มีเธออยู่ที่นี่ทำให้เขามีความสุขมากที่สุดในชีวิต
Forrest ขอ Jenny แต่งงาน แต่เธอปฏิเสธ ครั้งนี้ Forrest เป็นฝ่ายพูดว่า “I’m not a smart man, but I know what love is.” คืนนั้นทั้งสองมีความสัมพันธ์กัน และ Jenny ก็หนีไปอีกครั้งในตอนเช้า
Forrest เสียใจมาก ใส่รองเท้าที่ Jenny ซื้อให้ แล้วออกวิ่งไปอย่างไม่มีเหตุผล วิ่งแบบไม่คิดชีวิต วิ่งแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เขา keep going ไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก ง่วงก็นอน หิวก็กิน แล้วก็วิ่งต่อ เขาบอกว่า “I just felt like running, but it seemed to make sense to people.” เขาเป็นแรงบันดาลใจให้คนมากมาย เช่น แบรนด์เสื้อยี่ห้อหนึ่ง และเขาก็เริ่มมีเพื่อนวิ่งมากขึ้นๆ
วันหนึ่งเขานึกถึงคำพูดของแม่ที่ว่า “Put the past behind you before you can move on.” ทำให้เขาคิดได้ว่าชีวิตจะไม่มีวันไปข้างหน้าถ้าเราเอาแต่คิดถึงอดีตที่ผ่านไปแล้ว รวมแล้วเขาวิ่งข้ามเมืองข้ามประเทศมาเป็นเวลา 3 ปี 2 เดือน 14 วัน 16 ชั่วโมง เขาจึงกลับบ้าน และได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจาก Jenny
หนังให้ Forrest เล่าจากปัจจุบัน ณ ม้านั่ง ย้อนไปยังอดีตตั้งแต่วันที่เขาใส่เหล็กดามขา จนมาบรรจบกับปัจจุบันอย่างสวยงาม เขามาที่ม้านั่งแห่งนี้เพราะมาหา Jenny ตามที่อยู่บนจ่าหน้าซองจดหมาย
เขาได้เจอ Jenny อีกครั้ง ข่าวดีคือได้รู้ว่าเธอมี Little Forrest กับเขา และเขาก็เป็นเด็กที่ฉลาดมาก (ไม่ไอคิวต่ำแบบเขา) แต่ข่าวร้ายคือ Jenny ติดเชื้อไวรัส HIV และกำลังจะตาย Forrest จึงพา Jenny และลูกกลับไปอยู่บ้าน แต่งงานกัน และดูแลอย่างดีจนนาทีสุดท้าย
ก่อน Jenny ตาย เธอถามว่าตอนที่ Forrest อยู่ในสงคราม เขากลัวหรือเปล่า เขาก็เล่าถึงทุกทุกที่ที่เขาไปมา ทุกทุกที่มีความสวยงาม เขาผ่านประสบการณ์ชีวิตมาหลากหลายรูปแบบจริงๆ
ถึงแม้เขาจะร่ำรวยและประสบความสำเร็จในชีวิตในทุกทุกด้าน แต่แท้จริงเขากลับเหงาสุดหัวใจ เขารู้ว่าตัวเองแตกต่างจากทุกคนบนโลก จึงไม่มีใครก้าวเข้ามาอยู่ร่วมในชีวิตของเขาได้อย่างแท้จริง นอกจากแม่และ Jenny เท่านั้น ชีวิตของเขาจึงมีความสุขอยู่กับการได้รัก Jenny แล้วเมื่อเธอจากไป ความสุขของเขาก็ดูเหมือนจะสิ้นสุด
เขาอาจจะไม่มีความทุกข์ แต่ก็ไม่มีความสุขเช่นกัน แม้จะมีลูกชาย แต่ความรักที่มีให้ลูกก็ไม่เหมือนความรักที่เขามีให้ Jenny ภาพสุดท้ายที่แสดงความเหงาคือภาพที่เขาส่งลูกขึ้นรถโรงเรียน เขาบอกลูกว่า “I’ll be right here.” การเดินทางอันยาวไกลของเขาได้หยุดลงแล้วตรงนี้… ที่หน้าบ้านของเขาเอง
“If we each have a destiny or if we are all just floating around accidental like on a breeze. But I think maybe it’s both. Maybe boat is happening at the same time.”
ในกล่องอาจจะมีช็อกโกแล็ตหลายรสปะปนกัน เราอาจไม่รู้ว่าชิ้นไหนจะเป็นรสอะไร หรืออาจจะเลือกกินรสที่ตัวเองชอบก่อนได้ แต่วันหนึ่งเราก็ต้องกินรสที่ไม่ชอบอยู่ดี หรือเราอาจจะเอาชิ้นที่หน้าตาน่าเกลียดไปแลกกับชิ้นอื่นก็ได้ แต่เราก็ไม่รู้อยู่ดีว่าจะอร่อยกว่าชิ้นเก่าหรือไม่จนกว่าจะชิมมัน หรือบางทีในกล่องช็อกโกแล็ตอาจจะใส่อย่างอื่นที่ไม่ใช่ช็อกโกแล็ตซะอย่างเดียวอยู่ด้วยก็ได้ ไม่มีใครรู้…
เพราะทุกสิ่งมันคือโชคชะตาที่เราไม่มีวันรู้ได้ล่วงหน้า แต่เราต้องยอมรับและพร้อมที่จะเผชิญกับมัน
เพราะ “LIFE IS LIKE A BOX OF CHOCOLATES. YOU NEVER KNOW WHAT YOU ARE GOING TO GET.”
หมายเหตุ บทความนี้ ขวัญเขียนไว้ตั้งแต่ปี 2011 แล้วเอามาลงใหม่นะคะ อาจจะเขียนได้ยังไม่ดีเท่าไหร่ ขออภัยไว้ ณ ที่นี้
30 comments