Storyline
Fury (2014) หนังถ่ายทอดฉากสงครามโลกครั้งที่สอง (ช่วงเม.ย. 1945) ระหว่างอเมริกากับเยอรมัน พระเอกของเรื่องคือรถถัง Sherman สัญชาติอเมริกัน ชื่อว่า Fury ที่ควบคุมโดย Don ‘Wardaddy’ Collier (Brad Pitt จาก Se7en, Fight Club, World War Z) กับเหล่าลูกสมุน ได้แก่ Boyd ‘Bible’ Swan (Shia LaBeouf จาก Transformers), Grady ‘Coon-Ass’ Travis (Jon Bernthal จาก The Walking Dead และ The Wolf of Wall Street), Trini ‘Gordo’ Garcia (Michael Peña จาก American Hustle และ End of Watch) และเด็กใหม่หน้าละอ่อน Norman Ellison (Logan Lerman จาก Percy Jackson, The Perks of Being a Wallflower, Noah)
Action / Thriller / Drama / War / Battle
ตัวละครหลักในเรื่องมีแค่สองฝ่ายสองประเทศเท่านั้น คือ อเมริกาเป็นพระเอกและเยอรมันเป็นตัวร้าย ดังนั้นเราจึงไม่ถือว่า Fury เป็นหนังสงครามโลกซะทีเดียว เพราะมันคือ “สงครามเพื่อความอยู่รอด” โดยเฉพาะ Final Battle คือฉากสู้เพื่ออยู่รอด มากกว่าสู้เพื่อชาติ
และถึงแม้ซีนในหนัง 100% จะเป็นฉากในสนามรบ แต่ก็ไม่ได้ Action/Thriller หนักตลอดทั้งเรื่อง ช่วงแรกๆ หนังค่อนไปทาง Drama มากกว่า ซึ่งอาจไม่ค่อยถูกใจชาวแมสสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะช่วงที่พูดอิงพระเยซูหรือพระคัมภีร์ไบเบิลนั้น ชาวพุทธอย่างเราอาจเข้าไม่ถึงไปบ้าง แต่รับประกันได้ว่า ในส่วนของฉากสมรภูมิรบนั้น Thriller แบบเน้นๆ สนุก และลุ้นระทึกระดับห้าดาว ไม่ผิดหวังแน่นอน โดยเฉพาะ Final Battle ที่เหลือแต่รถถังของพระเอกคันเดียวปะทะกับกองทัพเยอรมันกลางสี่แยกนั้น… พีคจริงๆ
Real tanks
หนังไม่ได้เทความสำคัญไปที่ฉากยิงตู้มต้ามหรือระเบิดตูมตามจนหูดับตับไหม้ หากแต่สื่อถึงการเอาชีวิตรอด, ความเป็นมนุษย์, และ “ชีวิตในรถถัง” ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า Don เปรียบรถถังคือบ้าน และอยู่กับลูกน้องทุกคนในนั้นเสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน
การตั้งชื่อเล่นให้รถถังก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราสัมผัสได้ว่าทหารมีความผูกพันกับรถถังอย่างไร (Fury เป็นชื่อเล่นของรถถังคันของกลุ่มพระเอก) โดยเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ ทหารก็ตั้งชื่อเล่นให้รถถังของตนกันจริงๆ เพียงแต่ไม่ได้เขียนชื่อนั้นๆ บนกระบอกปืนอย่างในหนัง
ทีเด็ดหนึ่งในหนังคือ มีฉากการปะทะกันจะๆ ระหว่างรถถัง Sherman ของอเมริกา กับรถถัง Tiger ของเยอรมัน ซึ่งทั้งคู่เป็นรถถังในตำนานและมีอยู่จริงในสงครามโลก ซึ่งฉากนี้ เรายังจะได้เห็นกึ๋นของ Don และรู้แจ้งเลยว่า…
อาวุธที่ร้ายกาจที่สุดในสงคราม ไม่ใช่ขนาดของรถถัง แต่เป็นขนาดสมองของผู้นำนั่นเอง
From rookie to hero
ถึงแม้ Don จะเป็นทหารเก่งกล้า สมฉายา Wardaddy และรับบทโดย Brad Pitt แต่ตัวละครหลักที่สุดของเรื่อง Fury จริงๆ คือหนุ่มน้อย Norman ที่รับบทโดย Logan Lerman ถ้าไม่มี Norman ในบท หนังเรื่องนี้ไม่เกิดขึ้นจริงๆ
Norman เป็นเด็กหนุ่มธรรมดาๆ อยู่ในศีลธรรม ไม่เคยคิดฆ่าคน ไม่มีประสบการณ์การรบ เคยทำงานแต่เป็นเสมียนนั่งโต๊ะ แต่จับพลัดจับผลูมาอยู่ในสนามรบ Norman เป็นตัวละครที่เป็นตัวแทนของคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ในสงคราม (เช่นเดียวกับ Irma และ Emma ผู้หญิงชาวบ้านเยอรมันในเรื่อง เช่นเดียวกับเด็กๆ ทั้งหลายที่นาซีจับมาถือปืนแบบไม่เต็มใจ) เหมือนผู้กำกับฯ ต้องการจะบอกคนดูว่า…
สงครามนี้ไม่ใช่สงครามของ Norman ไม่ใช่สงครามของเด็กๆ ไม่ใช่สงครามของคนบริสุทธิ์
สุดท้าย… พอมาเจอโลกจริงอันโหดร้าย Norman ต้องเรียนรู้ ปรับตัว และดิ้นรนเอาตัวรอด เพื่อให้ตัวเองและคนในทีมไม่ถูกฆ่าตาย เขาเห็นคนถูกฆ่าต่อหน้าต่อตา เขาถูกบังคับให้ฆ่าคนที่ไม่มีทางสู้ เขาเห็นคนฆ่าคนกันเอง เขาจึงค่อยๆ เปลี่ยนไป
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ทำให้ Norman โตขึ้นนั้นไม่ได้มีแค่ด้านมืดอย่างความกลัวหรือความเกลียดชังเพียงอย่างเดียว
หากแต่เป็นเพราะ เขาได้อยู่กับคนเก่ง เขาก็เลยเก่งด้วย
เขาได้อยู่กับคนกล้า เขาก็เลยกล้าด้วย
และเหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ “ความรัก”
เขามีพี่เลี้ยงที่ดีอย่าง Don มีเพื่อนร่วมทีมที่รักกันยิ่งกว่าพี่น้อง และไหนจะยังมี Emma สาวสวยที่เขาเจอระหว่างไปบุกยึดเมืองในเยอรมันนั่นอีกคน
คนทั้งหลายนี้คือความรักที่หล่อเลี้ยงจิตใจของ Norman ให้แกร่งขึ้น และพลิกจาก a rookie เป็น a hero ในที่สุด
Ideals are peaceful. History is violent.
116 comments