“I’m going to be a pilot”
Han Solo เวอร์ชั่น Harrison Ford แบบที่พวกเรารู้จัก ปรากฏตัวครั้งแรกเมื่อปี 1977 ใน Star Wars: A New Hope ก่อนจะปรากฏตัวครั้งสุดท้ายใน The Force Awaken
นอกเหนือจาก trilogy หลัก ๆ แล้ว LucasFilm ยังทำอีกไลน์หนึ่ง เป็น A Star Wars Story เสมือนการขยายจักรวาล Star Wars ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มี Rogue One ไปแล้ว และครั้งนี้เป็นคิวของเรื่อง Han Solo ในว้ยหนุ่ม กำกับโดย Ron Howard ผู้กำกับออสการ์จาก A Beautiful Mind และ Frost/Nixon
เรื่องราวใน Han Solo: A Star Wars Story นี้จะเกิดขึ้นก่อนเรื่องราวใน Star Wars: A New Hope โดยเราจะได้พบกับ Han Solo ในวัยหนุ่ม (Alden Ehrenreich จาก Beautiful Creatures) ที่เติบโตเยี่ยงทาสบนดาว Correllia
เขามีความฝันที่จะมีเงินเยอะ ๆ เป็นนักบิน มียานเป็นของตัวเอง ขับร่อนไปทั่วกาแล็กซี่ พร้อมกับ Qi’ra (Emilia Clarke จาก Game of Thrones) แฟนสาวคนสวยของเขา แต่จนแล้วจนเล่าความฝันที่จะเป็นนักบินของเขาก็ยังคงเป็นแค่ความฝันลม ๆ แล้ง ๆ จนกระทั่งเขาได้พบกับเมนเทอร์ Beckett (Woody Harrelson จาก The Hunger Games) ผู้ที่ต้องออกปล้น Coaxium (เป็นพลังงานสำคัญ ราคาสูงมาก) มาใช้หนี้ให้กับบิ๊กบอส Dryden Vos (Paul Bettany จาก The Avengers)
และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ณ ช่วงเวลานี้ คือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตของ Han Solo เพราะเขาได้พบกับ Chewbacca (Joonas Suotamo) เพื่อนรักที่ทำให้เขาไม่ต้องโดดเดี่ยวอีกจนวันตาย และ Millennium Falcon ยานคู่ใจของเขาเป็นครั้งแรก หมายความว่า เราจะได้รู้ว่า Han Solo มาเป็นเพื่อนกับตัว Wookiee ได้อย่างไร และเอาปัญญาที่ไหนไปซื้อยานต่อมาจาก Lando Calrissian (Donald Glover จาก Atlanta) นักพนันขาใหญ่
โดยรวมแล้ว ถึงแม้ความหล่อและเสน่ห์ของ Alden Ehrenreich อาจสู้ Harrison Ford ในวัยหนุ่มไม่ได้เลย แต่อย่างน้อยเขาก็เป็น Han Solo ในวัยหนุ่ม ก่อนจะโตมาเป็น Han Solo ในวัยหนุ่มเวอร์ชั่น Harrison Ford ใน Star Wars: A New Hope ได้อย่างแนบเนียนไม่ขัดใจ (สำหรับเรา ความหล่อของ Harrison Ford ในซีนเปิดตัวยังคงตราตรึง ยากที่จะมีใครมาลบได้ แต่ครั้นจะให้ Harrison Ford ณ ตอนนี้ มาเล่นเป็น Han Solo ในวัยหนุ่มอีกก็คงไม่ไหวเช่นกัน ถึงแม้เทคโนโลยี CGI จะล้ำหน้าไปมากแล้วก็ตามเถอะ)
แต่หนัง Han Solo จะไม่ออกมาสนุกและดีขนาดนี้ได้หาก Han Solo เขา Solo มาคนเดียว หรือพูดตรง ๆ สำหรับเรา ลำพังแค่ Alden Ehrenreich คนเดียวคงมิอาจแบกหนังทั้งเรื่องไว้ได้ แต่โชคดีที่งานนี้เขามี Woody Harrelson กับ Donald Glover มาช่วยเพิ่มสีสันและช่วยดันเขาจนถึงวินาทีสุดท้ายของเรื่อง ทั้งนี้ยังไม่รวมแม่มังกร Emilia Clarke ที่เรื่องนี้สวยแพงจับใจและน่าค้นหาเสียจริง ๆ และแน่นอน… Chewbacca ที่อยู่เฉย ๆ ก็ตลกแล้ว
โดยเฉพาะ Woody Harrelson ที่เราต้องบอกว่าเราชอบเขากับบทบาทนี้มาก ส่วน Donald Glover นั้น ก็น่าเสียดายที่บทน้อยไปนิดนึง ทั้งที่จริง ๆ Lando Calrissian เป็นตัวละครที่ค่อนข้างน่าสนใจ ไม่ใช่แค่ตลกเท่านั้น แต่เพราะเขาเป็นตัวละคร pansexual ซึ่งถือว่าน่าจะเป็น LGBT คนแรกในจักรวาล Star Wars เลยก็ว่าได้
แล้วดรอยด์ดูโอของ Lando Calrissian ก็มีความพิเศษ กล่าวคือปกติเราจะมักคุ้นเคยกับดรอยด์ที่เหมือนเป็นคนรับใช้ของเจ้านายหรือเจ้าหญิง แต่ L3-37 (Phoebe Waller-Bridge จาก Fleabag) เป็น revolutionary droid อย่างชัดเจนโจ่งแจ้ง ทั้งเรียกร้องความเท่าเทียมเอย ปลดแอกเพื่อนดรอยด์เอย จนเกิดหนึ่งซีนใหญ่ที่น่าจดจำของเรื่อง
นอกจากซีน L3-37 ก่อกบฎแล้ว ฉากแอ็คชั่นต่อสู้ฉากอื่น ๆ เค้าก็ทำออกมาสนุกทุกฉาก แต่ละฉากทำมาจุใจและสะใจจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นฉากเปิดเรื่องตอนที่ Han Solo กับ Qi’ra พยายามหลบหนีจากดาว Correllia, ฉาก Han Solo กับพรรคพวกออกปล้น Coaxium บนทางรถไฟ ฯลฯ มีครึ่งหลังที่รู้สึกดร็อป ๆ ลงไปบ้าง แต่ก็ยังอยู่ในมาตรฐานความสนุกอยู่
เราเป็นคนดูหนังทั่วไป ที่ดู Star Wars มาแล้วทุกภาค รวมถึง Rogue One ก็ดูแล้ว แต่ปกติไม่ค่อยได้อินอะไรกับ Star Wars หรือ The Force แต่อย่างใด พอมาดู Han Solo: A Star Wars Story แล้ว ต้องบอกว่า อันนี้เข้าใจง่ายและเข้าถึงง่ายกว่าภาคอื่น ๆ คือมันอาจจะมีความเป็นหนังแอ็คชั่นทั่วไปมากกว่า และมีความเชื่อมโยงกับ Star Wars เส้นเรื่องหลักไม่มากนักชนิดที่ว่าคนที่ไม่เคยดู Star Wars ตอนใดใดมาก่อนก็ดูได้รู้เรื่อง
คะแนนตามความชอบส่วนตัว (ในฐานะที่ไม่ได้เป็นแฟน Star Wars) ให้ 8/10
44 comments
Comments are closed.