ใน Happy Death Day ภาคแรก นักศึกษามีนเกิร์ล Tree Gelbman (Jessica Rothe) ติดลูป ต้องถูกฆ่าตาย ตายซ้ำตายซาก และตื่นมาในเช้าวันเกิด (ของเธอและแม่ของเธอ) ซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยในทุก ๆ ลูป เธอกับ Carter Davis (Israel Broussard) ชายที่เธอตื่นมาเจอเป็นคนแรกทุกเช้าหลังการตาย ต้องช่วยกันตามหาและกำจัดคนที่ลอบฆ่าเธอ จนในที่สุดเธอก็ได้หลุดจากลูปนี้ และก็ตกหลุมรักกัน เป็นแฟนกัน Happy Ending…
แต่เรื่องที่เหมือนจะจบแล้ว มันกลับยังไม่จบ มันมีภาคต่อ เป็น Happy Death Day 2U ซึ่งในภาคนี้ มันก็มีเหตุทำให้ Tree ต้องกลับไปวงโคจรอุบาทว์นั้นอีกครั้ง โดยหนังได้เปิดเผยว่า สาเหตุที่นางต้องตายวนลูปไม่รู้จบตั้งแต่ภาคที่แล้ว ลากยาวมาจนถึงภาคนี้ด้วย นั่นเป็นเพราะโปรเจ็กต์การทดลองเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ควอนตัมของ Ryan (Phi Vu) รูมเมทของพระเอกนั่นเอง
แต่ในภาคนี้ นางเอกไม่ได้ไปตายวนลูปเหมือนเดิม เธอตื่นมาในจักรวาลใหม่ ที่อยู่คนละมิติกับมิติเดิมที่เธอเคยอยู่ อะไรหลาย ๆ อย่างรอบตัวเธอไม่เหมือนที่เธอคุ้นเคย เป็นสตอรี่ใหม่ โจทย์ใหม่ไม่ซ้ำเดิม ยกตัวอย่างเช่น ในมิตินี้เธอไม่ได้เป็นชู้กับอาจารย์หมอเหมือนตอนอยู่มิติเดิม และในมิตินี้เธอไม่ได้จำเป็นต้องมาตามหาฆาตกรอีกแล้ว แต่เธอก็ยังต้องตายซ้ำตายซาก จนกว่า Ryan จะค้นพบสมการที่ใช่ที่จะพาเธอกลับไปยังมิติที่เธอจากมา
รวม ๆ แล้ว ความทริลเลอร์ในภาคนี้จะน้อยลงกว่าภาคแรก เพราะมันไปเพิ่มความไซไฟมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ความสนุกของหนังและความบันเทิงก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด หนังยังคงซึ่งรสชาติความทริลเลอร์เบา ๆ ผสมกับดราม่าปรัชญาชีวิต และความตลกหลุดโลก อยู่เช่นเดิม (ซึ่งเหมือนจะตลกหลุดโลกกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ)
นางเอกก็ดูสตรองขึ้นอย่างชัดเจน คนดูเห็นแล้วเชื่อว่า ผู้หญิงคนนี้ผ่านอะไรหนักหนามาเยอะจริง (ก็นะ ตายโหงมาเป็นร้อยรอบ) อันนี้คือ ต้องปรบมือให้กับ Jessica Rothe ที่แสดงเก่งมาก ถึงแม้ตัวประกอบจะมีบทเยอะขึ้น (และแต่ละคนก็ขโมยซีนเกือบจะสำเร็จ) แต่เธอก็ยังเป็นศูนย์กลางของเรื่องที่แบกหนังอยู่หมัด เล่นใหญ่รัชดาลัยแต่ก็มีความเป็นธรรมชาติ ติดที่หน้าและอายุจริงเลยวัยไปหน่อย แต่แอ็คติ้งยังเป็นเด็กมหาลัยเนียนอยู่ โดยส่วนตัวคิดว่า นางเอกมีความสามารถและมีของเลยแหละ นางน่าจะได้รับโอกาสในการเล่นบทใหม่ ๆ และเป็นหนึ่งในดาวรุ่งดวงใหม่ประดับวงการต่อไปได้ไม่ยาก (ถ้ามีผู้ใหญ่ใจดีเห็นแววและช่วยผลักดันด้วยอะนะ)
โดยสรุป Happy Death Day 2U เป็นหนังภาคต่อที่เรื่องราวก็แทบจะต่อเนื่องกันกับภาคแรกโดยทันที แต่ก็เล่าเรื่องไม่ได้ซ้ำกันกับภาคแรกเลย แม้กระทั่งพาร์ทความรักและดราม่าครอบครัว (ปมเรื่องแม่) ของนางเอกก็ไม่ซ้ำ ในขณะเดียวกัน หนังภาคนี้มันมีความครีเอทีฟ มีความทะเยอะทะยาน มีความสนุกในเวย์ของมัน แถมยังไปไกลสุดโต่งเกินความคาดหมายที่เราคาดคิดไว้อย่างมาก (ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี)
ถึงแม้ในช่วงนี้ จะมีหนังหลายเรื่องแห่มาเล่นประเด็นมิติเวลา-ควอนตัมจนเกร่อ แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้พยายามเสียจนดูสะเหล่อ ทั้งนี้เราก็ชื่นชมผู้กำกับ Christopher Landon (จาก Scouts Guide to the Zombie Apocalypse) และคนเขียนบท Scott Lobdell นะ ที่อุตส่าห์อินเทรนด์ กล้าเชื่อมโยงจักรวาลของตนมาหามิติควอนตัมได้ขนาดนี้
เอาจริง หนังเหมือนคิดไว้แต่แรกแล้วแหละว่า จะทำมากกว่าหนึ่งภาค เพราะทุกอย่างมันดูคิดมาหมดแล้ว เห็นได้จาก บทที่ดูเขียนมาค่อนข้างดีและเล่าต่อจากภาคแรกอย่างสนุกลงตัว ไม่ค่อยมีช่องโหว่ในการเล่าเรื่องและการขยายจักรวาล (ปกติแล้ว ถ้าคนทำหนังเค้าไม่ได้ตั้งใจวางโครง 2-3 ภาครวดไว้แต่แรก มันควรจะมีความโป๊ะมากกว่านี้ นึกออกปะ)
แต่จริง ๆ แล้ว บางทีบางจุดอาจจะมีโหว่หรือน่าเบื่ออยู่บ้างก็ได้แหละ แต่ทว่าแอ็คติ้งนางเอก ประกอบกับการตัดต่อและการเลือกใส่เพลงประกอบของเค้าทำมาสนุก เราเลยไม่รู้สึกมีปัญหาอะไรกับหนังเลย (แหม ก็นี่หนังค่าย BlumHouse เค้านะเออ โปรดักชั่นไม่ง่อยอยู่แล้ว)
และในตอนจบ ช่วง end credit ของหนัง (ใช่ค่ะ นางมี end credit เหมือนหนัง Marvel ด้วยค่ะ) หนังก็เปิดเผยอีกว่า หนังจะมีต่อภาคสามด้วยจ้า~ (เป็นอีกจุดที่คอนเฟิร์มได้ว่า หนังเค้าคิดมาหมดแล้วแต่แรกว่าจะมีหลายภาค) เอาเลยจ้า~ ไปให้สุด อย่าหยุดแค่ภาคสอง~ เราเป็นคนหนึ่งแหละที่พร้อมจะรอดูว่ามันจะไปทางไหนของมันอีก ตีตั๋วเข้าไปดูภาคต่อไปแน่นอน
ป.ล. ถึงแม้ว่าตอนต้นเรื่องของภาคนี้ มันจะ recap ภาคแรกให้คนดูก็ตาม แต่เราก็แนะนำว่า ควรจะดูภาคแรกเองเต็ม ๆ มาก่อนที่จะมาดูภาคนี้อยู่ดีนะ เพื่อความสนุกที่มากขึ้นและอรรถรสที่เต็มเปี่ยม
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 8/10
*หมายเหตุ เริ่มฉายรอบพิเศษ ตั้งแต่ 21-28 ก.พ. 2019 รอบหลังสองทุ่ม และฉายจริงตามปกติ 27 ก.พ. เป็นต้นไป
49 comments
Comments are closed.