เราไม่ได้เสพสื่อที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ “กระสือ” มานานหลายปีแล้ว แต่ “กระสือ” ใน perception ของเรา จากหนังเก่า ละครเก่า และการ์ตูนขายหัวเราะ-มหาสนุก เราจะมองว่า “กระสือ” เป็นผีพื้นบ้าน (คลาสเดียวกับผีปอบผีเปรต) ผู้หญิงสาวใหญ่จนถึงสาวแก่ ที่ถอดหัวถอดไส้ ทิ้งร่าง และออกไปหากินในตอนกลางคืน
พอได้เห็นว่า ปีนี้จะมีหนังไทยเกี่ยวกับกระสือเข้าฉาย ในแว้บแรก… เราก็คิดว่า นี่ยังจะเอากระสือมารีเมคกันอีกหรือ แต่พอได้ดูตัวหนัง แสงกระสือ ผลงานการกำกับของ สิทธิศิริ มงคลศิริ (ผู้กำกับร่วม Last Summer: ฤดูร้อนนั้น ฉันตาย) และการเขียนบทของ มะเดี่ยว-ชูเกียรติ (ผู้กำกับและเขียนบท รักแห่งสยาม,13 เกมสยอง, ฯลฯ) มันออกมาผิดคาด…. มันดีเหนือความคาดหมายของเรามาก… ขนาดเข้าไปดูด้วยความคาดหวัง ก็ยังไม่ผิดหวังเลย
จากที่ตอนแรกคิดว่า หนังกระสือมันน่าจะเชยหรือล้าสมัยไปเสียแล้วสำหรับปี 2019 กลับกลายเป็นว่า นี่เป็นหนังกระสือที่มีระดับ เป็นหนังไทยที่ดูทันสมัย ดูอินเตอร์ บทก็มีการตีความใหม่ให้ดูร่วมสมัยมากขึ้นพร้อมกับการผสมผสานกับความเชื่อเกี่ยวกับกระสือดั้งเดิมอย่างลงตัว ในส่วนของซีจีและงานโปรดักชั่นด้านต่าง ๆ เขาก็ทำได้ดีมาก ยกระดับมาตรฐานหนังไทยไปอีกขั้น เป็นหนังผีไทยที่ส่งออกสู่สากลได้อย่างไม่อายใคร
ถ้าไม่นับที่ต้องทนเห็นตับไตไส้พุงและเลือดสด ๆ หนังไม่ได้หลอน ไม่ได้น่ากลัว คือมันไม่ใช่หนังผี (ในหนังก็จะบอกแหละว่า กระสือเองก็ไม่ใช่ผี แต่เราแค่เคยได้ยินคนเรียกรวม ๆ ว่า ผีกระสือ) หรือต่อให้เรียกว่ากระสือเป็นผี…เป็นสัตว์ประหลาด… กระสือก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในเรื่องนี้อยู่ดี เพราะกระสือสายเป็นเด็กหญิงจิตใจดี ในทางกลับกัน จิตใจของมนุษย์… ความกลัวและความอาฆาตแค้นต่างหาก… ที่น่ากลัวที่สุด เพราะนำไปสู่ความขัดแย้งและความรุนแรงในสังคมไม่รู้จบ
นอกจากนี้หนังไม่ได้มุ่งเน้นไปที่ความเชื่อโบราณของชาวบ้านหรือขบวนการล่าแม่มดเป็นหลักเหมือนอย่างเรื่องนาคีด้วย แต่หนังเน้นฟีลลิ่งการเป็นคนนอกของกระสือ และเรื่องรักสามเส้าของหนุ่มสาวสามคน ซึ่งเป็นการเน้นย้ำว่า สัตว์ประหลาดก็มีหัวใจ… เอาจริง มันก็คือหนังรักโรแมนติกเรื่องหนึ่ง อารมณ์เหมือน The Shape of Water
ในช่วงองก์แรก ตอนที่สายยังไม่รู้ตัวว่าเป็นกระสือ (เลือดเปรอะที่นอน ก็คิดว่าตัวเองเมนส์มา อมยิ้มลัลล้า เหมือนดีใจที่หนูเป็นสาวแล้ว) หนังพาเราไปรู้จักเด็กหนุ่มและเด็กสาว ที่เป็นชาวบ้านตาดำ ๆ จิตใจดี และมีความฝันเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป เช่น สาย (มินนี่-ภัณฑิรา) อยากเป็นพยาบาล, น้อย (โอบ-โอบนิธิ) อยากเป็นหมอ และเจิด (เกรท-สพล) อยากเป็นทหาร/ตำรวจ (ตรงนี้แอบสะท้อนเรื่องเพศในสังคมไทยสมัยก่อนบาง ๆ ด้วย กล่าวคือ สายมีความคิดอยากรักษาคน แต่กลับฝันแค่อยากเป็นพยาบาล ไม่ได้ฝันจะเป็นหมอ) ชีวิตของพวกเขาดูปกติดี จนกระทั่งเกิดสงครามที่พระนครและหมู่บ้านก็มีกระสือออกมาหากิน ฆ่าเป็ด ไก่ วัว ควายของชาวบ้านตายทุกคืน ๆ
ในช่วงองก์สอง หนังเริ่มมีความโรแมนติกขึ้น เมื่อน้อยบังเอิญได้รู้ความจริงว่าสายเป็นกระสือ จากที่ตอนแรกไม่เชื่อเรื่องภูติผีปิศาจ (ด้วยความหัวสายวิทย์ เรียนหมงเรียนหมอ) ต้องมาเป็นคนเดียวที่ล่วงรู้และช่วยปกปิดความลับของสาย พร้อมกับช่วยคิดหาทางรักษา ซึ่งตรงนี้ เราได้เห็นว่า จริง ๆ แล้วกระสือไม่ได้ร้าย เขาแค่ต้องหากินเพื่อความอยู่รอดเฉกเช่นมนุษย์ปุถุชน และสามารถอยู่ร่วมกับมนุษย์ในสังคมได้ ในขณะเดียวกัน เจิด ซึ่งไปร่วมกับกระบวนการล่ากระสือ ก็ค่อย ๆ กลายเป็นคนไกลออกไป ความเฟรนด์โซนของเจิด เราก็อินและสงสารเสียยิ่งกว่าความเฟรนด์โซนของปาล์มกับกิ๊งในหนังเรื่อง Friend Zone
องก์สุดท้ายนี่คือตัวพีค นอกจากหนังจะนำเสนอตำนานของกระสือ-กระหังให้เรารู้จักมากขึ้นแล้ว หนังยังกล้าฉีก ทะเยอทะยาน และเล่นใหญ่ไปเลย มีครบรสทั้งบู๊ทั้งซึ้ง สนุกแบบกราฟขึ้นปรู๊ดปร๊าด ถ้าใครเคยดู นาคี 2 คงพอนึกฟีลลิ่งออก แต่อย่างไรก็ตาม แสงกระสือ ทำได้ดีกว่า พีคกว่า และทรงพลังกว่านั้นเยอะ คือช่วงท้ายนี่ เราแอบปรบมือให้ในโรงอยู่หลายซีน แต่พูดมากไม่ได้ เพราะเสี่ยงต่อการหลุดสปอยล์
นักแสดงนำทั้งสามคน รวมถึงคุณเอ็ม-สุรศักดิ์ ที่เป็นหัวหน้าแก๊งล่ากระสือ ต่างแสดงได้ดีและมีคาแรกเตอร์ที่ชัดเจน ตัวน้องโอบนิธินี่เราพอจะเคยเห็นผลงานและฝีมือเขามาแล้วบ้าง เรื่องนี้ก็เล่นดี ซึ่งก็ไม่ได้เซอร์ไพรส์อะไร แต่พิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่า น้องเล่นบทนำได้เอาอยู่ แต่เกรท-สพลนี่ดีแบบเซอร์ไพรส์เลยสำหรับการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรก เพราะตอนแรกคิดว่าน้องจะเล่นแข็ง ๆ ส่วนมินนี่-ภัณฑิราเป็นกระสือที่สวยและใสจริง ถือว่าสอบผ่านสำหรับภาพยนตร์เรื่องแรกเหมือนกัน
ทั้งนี้ เราไม่ได้จะบอกว่า แสงกระสือ เป็นหนังที่เพอร์เฟ็กต์ เพราะตัวบทของหนังก็มีช่องโหว่ที่เอ๊ะ ๆ อยู่บ้าง และซีจีเองก็ไม่ได้เนียนกริบ 100% แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ เรายืนยันว่า ถึงแม้ว่ามันจะมีตำหนิบ้างอะไรบ้าง แต่มันก็ยังเป็นหนังที่สวยงามและเป็นหนังไทยที่ดีที่สุดในรอบปี ซึ่งความสวยงามและดีงามทั้งหลายทั้งปวงนี้ มันทำให้ใจเราหลงลืมและมองข้ามตำหนิเล็กน้อยต่าง ๆ ไปเสียสิ้น…
อืม… จะว่าไป มันก็เหมือนอาการของคนมีความรัก… เราคงรักหนังเรื่องนี้เข้าจริง ๆ นั่นแหละ…
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 8.5/10 (สำหรับมาตรฐานหนังไทย มันดีมาก)
78 comments
Comments are closed.