กระแสตอบรับของหนัง Insurgent ซึ่งเป็นหนังภาคต่อของ Divergent ออกมาสองขั้วสองด้าน คนชอบก็ชมไปเลย คนไม่ชอบก็ด่าไปเลย ดังนั้น เราคิดว่าหนังเรื่องนี้ก็คงเป็นความชอบเฉพาะบุคคลจริงๆ
สำหรับคนที่จะไปดู Insurgent (หรือไปดูมาแล้วก็ตาม) ลองอ่านบล็อก “Divergent: ขยายหนังจากหนังสือ” ของเราประกอบไปด้วยก็ได้ บล็อกนี้อาจจะทำให้เราเข้าใจหรืออินกับตัวละครต่างๆ ในหนังมากขึ้นกว่าไม่รู้เรื่องอะไรพวกนี้เลย แต่ถ้าคุณพอรู้เรื่องที่ว่านั้นเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ก็มาต่อที่เรื่องราวและรีวิว Insurgent กันได้เลย
หมายเหตุ บล็อกนี้เราเขียนในฐานะของคนที่ค่อนข้างชอบหนังและหนังสือแนวดิสโธเปีย (Dystopian) อย่าง The Hunger Games, The Maze Runner, และ Divergent หรือหนังที่ตัวละครเอกเป็นผู้หญิง อย่างที่เราเคยเขียนไว้ในบล็อก “10 Most Influential Women in Dystopian World” ซึ่งอาจจะมีความคิด ความรู้สึก หรือมุมมองต่อหนังที่แตกต่างจากคนบางกลุ่มไปบ้าง ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้นะคะ
READ MORE: Divergent: ขยายหนังจากหนังสือ และ Insurgent: หนังกบฏหนังสือ
This blog is divided into 3 parts: 1. ความเดิมตอนที่แล้ว (Divergent) 2. เรื่องย่อ Insurgent 3. รีวิว / วิจารณ์ / วิเคราะห์ Insurgent
1. Before INSURGENT, there is Divergent
จากที่เราเล่าไว้ในบล็อก “Divergent: ขยายหนังจากหนังสือ” โลกในเรื่อง Divergent อยู่ในกำแพงเมืองชิคาโก้ที่เหมือนจะล่มสลายไปกว่า 200 ปีแล้ว สังคมภายในแบ่งกลุ่มคนออกเป็น 5 กลุ่ม ตาม personality (ไม่นับพวก Factionless) ดังนี้
- Abnegation – selflessness – government (ฉายา “Stiffs”)
- Dauntless – courage, bravery, toughness, fearlessness – police/soldiers/protectors
- Candor – honesty, order – law leaders
- Erudite – knowledge, intelligence, curiosity, astuteness – teachers/researchers (ฉายา “Know-it-all’s” และ “Noses”)
- Amity – peacefulness, kindness, forgiveness, trust, sufficiency, neutrality – farmers
แต่ใน Choosing Ceremony ปีหลังๆ เด็กๆ มีการย้าย faction มากขึ้นกว่าแต่ก่อน นางเอกของเรา Beatrice หรือ Tris (Shailene Woodley จาก The Fault in Our Stars) สละครอบครัวจากกลุ่ม Abnegation ไปอยู่กลุ่ม Dauntless และ Caleb (Ansel Elgort จาก The Fault in Our Stars) พี่ชายของเธอก็ย้ายไปอยู่กลุ่ม Erudite
โดยในภาคแรกจะเน้นเรื่องราวช่วงที่ Tris ต้องเข้ารับการฝึกและคัดเลือกเป็นสมาชิกของกลุ่ม Dauntless เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเธอก็ได้ทั้งเพื่อนใหม่และศัตรูใหม่เพิ่มขึ้นในชีวิตอีกหลายคน ที่สำคัญ ยังได้เจอและตกหลุมรักกับ mentor หนุ่มสุดฮอตของกลุ่ม ชื่อว่า Tobias หรือ Four (Theo James จาก Underworld) ซึ่งก็ย้ายมาจากกลุ่ม Abnegation เช่นกัน
แต่ปัญหาคือ Tris กับ Four เป็น Divergence ซึ่ง Jeanine (Kate Winslet จาก Titanic) นางมารร้ายแห่ง Erudite เชื่อว่าเป็นภัยต่อระบบสังคม และแท็กทีมกับพวกทรยศในกลุ่ม Dauntless อันได้แก่ Eric (Jai Courtney จาก A Good Day to Die Hard) และ Max (Mekhi Phifer) กำจัดพวก Divergence
ตอนจบของภาคแรกนั้น จบตอนที่ Tris กับ Four พร้อมทั้ง Caleb, Peter (Miles Teller จาก Whiplash) และ Marcus พ่อของ Four (Ray Stevenson) วิ่งหนีการจับกุมของพวก Jeanine และกระโดดขึ้นรถไฟมุ่งหน้าไปขอความช่วยเหลือจากพวก Amity ผู้ใจดีและรักสันติ
อ่านเพิ่มเติม: http://divergent.wikia.com/wiki/Divergent
Four, Tris, and Caleb
2. เรื่องย่อ Insurgent
ถึงแม้ Tris, Four, Caleb, Peter, และ Marcus ได้รับการต้อนรับจาก Johanna หัวหน้ากลุ่ม Amity (Octavia Spencer จาก The Help และ Snowpiercer) และชาวบ้านในกลุ่มเป็นอย่างดี แต่ Tris ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับที่นี่ และยังคงโทษตัวเองเรื่องการตายของพ่อแม่ (Tony Goldwyn และ Ashley Judd ตามลำดับ) รวมถึงยังรู้สึกผิดที่ฆ่า Will (Ben Lloyd-Hughes) เพื่อนสนิทของตัวเอง
Jeanine สั่งให้คนออกตามล่า Divergence มาให้หมดแผ่นดิน เพื่อเอามาทำการทดลอง Eric กับ Max มาเจอทีมนางเอกของเราที่ Amity แต่เด็กๆ ก็หนีไปได้ ยกเว้น Marcus ที่เสียสละตัวเองเพื่อลูก กับ Peter ที่หักหลังเพื่อเอาตัวรอด
ทีม Tris, Four, และ Caleb หนีเสือปะจระเข้ไปเจอทีม Factionless และได้เจอกับ Evelyn ผู้นำของกลุ่ม Factionless (Naomi Watts จาก The Impossible และ Birdman) และได้รู้ว่าพรรคพวก Dauntless ที่หลงเหลือรอดของตนไปหลบซ่อนอยู่กับกลุ่ม Candor วันต่อมา Tris กับ Four จึงออกเดินทางไปหาเพื่อนๆ แต่ Caleb ขอแยกออกตัวออกไป
ที่ Candor ทั้งสองได้เจอเพื่อนๆ อีกครั้ง โดยเฉพาะ Christina (Zoë Kravitz จาก Mad Max), Uriah (Keiynan Lonsdale), และ Tori (Maggie Q) แล้วทั้งสองยังได้รับการช่วยเหลือจาก Jack Kang หัวหน้ากลุ่ม Candor ผู้เป็นธรรม (Daniel Dae Kim) จึงรอดพ้นจากคดีที่ Jeanine ยัดเยียดกล่าวหา
พวก Eric กับ Max เข้ามาบุก Candor เพื่อตามจับ Divergence เกรดดีๆ ไปทดลองและฆ่า Divergence เกรดต่ำทิ้ง Tris ซึ่งถูกค้นพบว่าเป็น Divergence ที่สมบูรณ์แบบที่สุด จึงอาสาไปเป็น The SIMs หนูทดลองให้ Jeanine ที่แล็บของ Erudite โดยมีเงื่อนไขว่าพวก Jeanine ต้องหยุดทำร้ายคนบริสุทธิ์
Tris and Jeanine
3. รีวิว / วิจารณ์ / วิเคราะห์ Insurgent
ในแง่ความบันเทิงเราชอบ Insurgent มากกว่า Divergent เพราะสำหรับเรา หนังภาคนี้ช่วยเติมเต็มหลายๆ อย่างในหนังสือของ Veronica Roth ที่ในหนังภาคแรกเขาไม่ได้ทำให้สมบูรณ์แต่แรก
อย่างแรกเลย ตัวละคร Uriah ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวละครที่เราชอบมากที่สุดของเรื่องและค่อนข้างมีบทบาทสำคัญ Neil Burger ผู้กำกับฯ ภาค Divergent ก็ตัดทิ้งไปหน้าตาเฉย เราจึงต้องขอขอบคุณ Robert Schwentke ผู้กำกับฯ ภาค Insurgent ที่ทำให้ Uriah ของเรามีตัวตน แถมยังดูดีกว่าที่เราจินตนาการจากในหนังสืออยู่มาก
ถึงแม้ Uriah จะไม่เด่นเท่าที่ควรจะเป็นเท่าไร จู่ๆ ก็โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ (คนไม่อ่านหนังสือก็คงงงอะ) แต่ก็เข้าใจว่า เป็นเพราะภาคแรกเขาไม่ช่วยปูอะไรเกี่ยวกับ Uriah มาให้คนดูก่อนเลย
Uriah my fav one!
อย่างที่สอง เนื่องจากในหนังภาคแรกเขาไม่ได้ทำให้ Will กับ Christina ดูรักกันเลย คือเหมือนเป็นเพื่อนร่วมก๊วนกันธรรมดา ดังนั้นในภาคนี้ตอนที่ Christina จับได้ว่า Tris ฆ่า Will คนรักของเธอ ฟีลลิ่งมันเลยไม่ส่งแต่ใดๆ เท่าไร คนดูที่ไม่เคยอ่านหนังสือก็จะไม่เข้าใจความรู้สึก Christina คนดูจะเข้าถึงได้แต่ว่า Christina เจ็บที่ Tris ฆ่าเพื่อนและเจ็บที่ Tris โกหกปิดบังเธอ น้ำหนักของซับพล็อตตรงนี้เลยดูเบาลงไปมาก
อีกประการก็คงเป็นบทของ Evelyn ผู้นำของกลุ่ม Factionless ที่จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมามีบทบาทในภาคที่สอง และ Four ก็เรียกนางว่า “แม่” ทั้งๆ ที่ในภาคก่อนหน้านั้น หนังไม่เคยพูดถึงแม่พระเอกเลย (เออ แล้วจู่ๆ เป็นไงมาไงถึงได้มาเป็นผู้นำก็ไม่รู้อีก)
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราไม่ได้หมายความว่าหนังจำเป็นต้องใบ้นะว่าแม่ของ Four ยังไม่ตาย หรือแม่ของ Four อยู่ Factionless เราแค่คิดว่าอย่างน้อยๆ หนังภาคแรกน่าจะเกริ่นถึงแม่เขามาก่อนบ้าง ไม่ใช่ทิ้งมาเป็นภาระให้ภาคนี้ต้องรับผิดชอบทั้งหมด เออ คนดูก็งงอีก จู่ๆ Four ก็พูด “mother” แล้วให้ Tris กับ Caleb บ่นให้คนดูฟังว่า “อ้าว! แม่นางไม่ได้ตายไปแล้วหรอกหรือ”
Evelyn the leader of Factionless
ถึงแม้ว่าจุดอ่อนของหนัง Insurgent เราจะโทษ Divergent ตามที่เราบ่นข้างต้น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเรากล่าวโทษ Divergent เสียทั้งหมดว่าเก็บดีเทลมาไม่ดี เพราะตัว Insurgent เองก็มีความผิดพลาดที่กระทำตัวเองอยู่เหมือนกัน ซึ่งอาจจะเป็นความผิดพลาดมาตั้งแต่ตัวบทประพันธ์ของ Veronica Roth แต่แรกแล้วก็ได้ที่ไม่เมคเซนส์
แต่ถ้าว่ากันในเรื่องของความไม่เมคเซนส์เฉพาะส่วนที่เห็นจากในหนัง มันก็มีหลายจุดด้วยกัน เช่น ฉากที่ Caleb ขอแยกออกไปจาก Tris กับ Four ซึ่งถ้าว่ากันด้วยเหตุและผล นางเมคเซนส์ แต่ด้วยวิธีการตอนจะไป มันไม่ค่อยเมคเซนส์ยังไงบอกไม่ถูก หรือจะฉากที่พระนางต่อสู้กับพวก Factionless บนรถไฟนั่นก็แอบแปร่งๆ แบบว่ามึงสู้กันจะเป็นจะตายอยู่หลายนาที แต่สุดท้ายพระเอกก็(ตั้งใจ)พูดชื่อตัวเองขึ้นมา ดีออก ศึกสงบทันที แหม ไม่รอให้เมียถูกถีบตกรถไฟตายก่อนแล้วค่อยบอกไปเลยล่ะ – – (แต่มันมั้ย มันก็มันนะ ฉากนั้นมันก็สนุกดี)
นอกจากนี้ฉากช่วงที่ Tris ยอมไปเป็น The SIM ของตัวร้ายแล้ว ก็ไม่ค่อยมีอะไรน่าค้นหา ลุ้นระทึก ให้กำลังใจ มีอารมณ์ร่วม หรือชวนติดตามเท่ากับภาคแรก เพราะคนดูส่วนใหญ่เขาก็รู้ทันเกมและเดาเรื่องได้กันไม่ยากอยู่แล้ว ช่วงหลังๆ ของเรื่องเราจึงรู้สึกเฉยๆ แม้แต่จุดที่มันเหมือนจะเซอร์ไพรส์หรือพล็อตทวิสต์นั้นก็ไม่ได้รู้สึก “โอ้!” หรือ “ว้าว!” สักเท่าไหร่
โดยเฉพาะตอนเฉลยบทสรุปของภาคนี้นี่ก็ยิ่งเฉยเลย เพราะมุกมันไม่ใหม่ รู้สึกซ้ำกับ The Maze Runner มาก (อีกอย่าง ในหนังสือเขาแอบใบ้เรื่องกำแพงมาตั้งแต่ภาค 1 แล้วด้วย) ซึ่งก็ต้องรอดู Allegiant ภาคต่อของมันกันอีกที ว่าจะเป็นยังไงต่อไป
Jeanine and Caleb Erudite
ที่สำคัญ ถ้าตั้งชื่อตอนว่า Insurgent ซึ่งแปลว่า “กบฏ” (ชื่อไทยก็ใช้ชื่อว่า “คนกบฏโลก”) เราว่าตัวเนื้อหาก็น่าจะสื่อถึงความเป็นกบฏมากกว่านี้ แบบที่ The Hunger Games เขาทำตรงจุดจุดนี้สำเร็จ ไม่ใช่บอกว่าหนังชื่อว่า “กบฏ” แต่เอาเข้าจริงเน้นแต่การทดลอง Divergence ของ Jeanine และนางเอกก็ดู obey ง่ายแสนง่าย ไม่ค่อยรู้สึกว่านางหัวขบถอะไรแบบ Katniss เลย
ประเด็น Propaganda หรือสงครามสื่อ แบบที่มีใน The Hunger Games นั้น ก็มีใน Insurgent แต่ก็ไม่ได้เล่นหนักเท่าของเขา หรือถ้าพูดให้ถูกคือแทบไม่ได้ขยี้มันเสียด้วยซ้ำ แต่เราก็ไม่ได้เสียดายอะไร เพราะคิดว่า ต่อให้ Insurgent ไปเล่น Propaganda เพิ่ม มันก็ไม่น่าจะมีอะไรใหม่หรือเข้มข้นไปกว่า The Hunger Games มากนักอยู่ดี
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ในตัวบทจะดร็อปลงไปกว่าภาคแรก แต่ถ้าไม่เอาไปเปรียบเทียบกับ The Hunger Games หรือ The Maze Runner มากนัก มันก็โอเค สนุกเลยทีเดียวแหละ ไม่ได้กาก ไม่ได้แย่
Tris
สิ่งที่เราต้องขอเชยชมคือ ในแง่ของความมัน แอ็คชั่น และความบันเทิง โดยเฉพาะงาน CG ประกอบกับซาวนด์เอฟเฟ็กต์นั้น Insurgent เขาทำออกมาได้อลังการงานสร้าง ไม่ละเอียดมากแต่นับว่าสวยงาม และตื่นตาตื่นใจเลยทีเดียว โดยส่วนตัวรู้สึกว่าดูแล้วก็สนุกเพลินๆ ตอบโจทย์ความบันเทิงได้ในระดับที่พึงพอใจ
ในเรื่องของงานภาพ เราพอใจมาก เพราะเราชอบเวลาได้เห็นตัวละครและฉากต่างๆ มันมีชีวิตของมันจริงๆ ซึ่ง Insurgent สร้างภาพออกมาได้สวยงามและดีเหนือกว่าที่เราจินตนาการไว้ในหัวตอนอ่านตัวหนังสือค่อนข้างมาก (หรือนี่มโนไม่แจ่มของนี่แต่แรกเอง ก็ไม่รู้สินะ lol) มีขัดใจกับคอสตูมของกลุ่ม Amity นิดหน่อยที่สดใสแดงเหลืองไม่สมกับที่วาดไว้ในหัวสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับน่าเกลียด
ในส่วนของตัวละคร มีทั้งจุดอยากชมและจุดอยากติคละเคล้ากันไป แต่จะพยายามไม่บ่นเรื่องที่จำนวนตัวละครขาดๆ หายๆ ไปจากในหนังสือ เพราะเข้าใจเรื่องนี้ดี อย่าง The Hunger Games ก็ตัดตัวละครออกไปเยอะเหมือนกัน
นักแสดงที่เล่นได้ดีและมีพัฒนาการสูงสุด คงต้องปรบมือให้ Shailene Woodley นางเอกคนสวยของเรา โดยเฉพาะซีนร้องไห้ดราม่า Shailene ทำได้ดีเลย ขัดใจก็แต่ขนตาที่โดดเด้งเห็นได้ชัดว่าปัดมาสคาร่าเยอะเกินปริมาณ และบทของ Tris เองที่เป็น Tris ของ Tris อย่างงี้ แบบว่างี่เง่า ดื้อรั้น อารมณ์ร้อน และประสาทในหลายๆ อย่าง (แต่ก็พยายามเข้าใจว่านางเป็นอย่างงี้เพราะนางเป็น Divergence 100%)
แต่ยังดีที่ Tris น่ารำคาญน้อยกว่า Bella Swan ใน Twilight อยู่ประมาณ 200% และก็ไม่เป็นนางวันทองสองใจแบบ Bella Swan ใน Twilight หรือ Katniss Everdeen ใน The Hunger Games
อย่างไรก็ดี Tris ก็ไม่ใช่ฮีโร่หญิงที่เป็น Perfect Subject ในชีวิตจริงซะทีเดียว อย่างเราเนี่ยปกติเราจะชอบตัวละครเอกเป็นผู้หญิงนะ เพราะในโลกที่ต้องการความเท่าเทียมทางเพศ (Gender Eqaulity) แบบนี้ เด็กผู้หญิงหลายคนจำเป็นต้องมี superheroine สักคนเป็นแบบอย่างหรือ Role Model ของพวกเธอ แต่อย่าง Tris ที่ Shailene Woodley สวมบทบาทในเรื่องนี้ มันยังไม่ใช่อะ
คือจริงๆ Tris นางก็ดีนะ ฉลาด เสียสละ และกล้าหาญ แต่มันมีสิ่งหนึ่งที่สำคัญ ที่ผู้นำหญิงหรือแม้แต่ผู้หญิงทั่วไป ควรพึงมีด้วย นั่นก็คือ “ความสามารถในการควบคุมสภาวะทางอารมณ์” ซึ่ง Tris ยังไม่มี แล้วบางทีสกิลนี้มันก็สำคัญกว่าและอาจเกี่ยวเนื่องกับความสามารถทางด้านอื่นๆ ด้วย ว่ามั้ย?
PETER!!!
ตัวละครประกอบที่เราอยากชมเชยมี Kate Winslet กับ Miles Teller แต่เสียดายที่ Kate Winslet ไม่ค่อยได้โชว์พาวอะไรเท่าไหร่นักนอกจากยืนจิ้มไอแพดสวยๆ และชี้นิ้วสั่งลูกน้องไปวันๆ
ส่วน Naomi Watts ที่เอามาเล่นเป็นแม่พระเอกและเป็นผู้นำกลุ่ม Factionless ซึ่งควรเป็นคู่กัดกับ Kate Winslet เรายังรู้สึกว่าใช้นางไม่คุ้มศักยภาพและยังไม่เห็นความสมน้ำสมเนื้อกับ Kate Winslet สักเท่าไหร่ แต่ก็คงต้องรอดูตอนต่อไปใน Allegiant อีกที
แต่ Miles Teller นี่พูดเลย อนาคตนางรุ่งแน่นอน อย่างในภาคนี้นางเกิดกว่าภาคแรกมาก น่ารัก ตลก ขโมยซีนพระเอกของเราทั้งเรื่องเลยก็ว่าได้ แล้ว Peter จัดเป็นตัวละครที่ดูมีเสน่ห์ มีพัฒนาการ และมีมิติมากขึ้น เป็นบทที่อุดรอยรั่วของหนังไปเยอะอยู่ เสียอย่างเดียวคือ เราติดภาพนางตีกลองใน Whiplash ไปเสียแล้ว สลัดเท่าไหร่ก็ไม่หลุด OTL
เออ ไหนๆ ก็พูดกันเรื่อง “ภาพติดตา” ไปแล้ว ก็ไม่พ้น ต้องพูดถึงคู่ Shailene Woodley กับ Ansel Elgort ด้วย สองคนนี้ในเรื่องนี้เล่นเป็นพี่น้องแท้ๆ กัน แต่ในเรื่อง The Fault in Our Stars ที่เพิ่งฉายไปกลางปีก่อนนั้น พวกนางเล่นเป็นแฟนกัน
คือตอนดู Divergent แล้วไปดู The Fault in Our Stars นี่ไม่เท่าไหร่นะ แต่พอดู The Fault in Our Stars แล้วมาดูมันกลับมาเป็นพี่น้องกันอีกครั้ง แล้วมันรู้สึกแปลกๆ ภาพตอนจู๋จี๋ดู๋ดี๋กันมันยังคงติดตาเราอยู่ เวลา Caleb เดินตาม Tris กับ Four นี่ไม่ให้ฟีลพี่ชายเดินตามน้องสาวอีกต่อไป
ส่วนบทของ Ansel Elgort ในหนังภาคนี้ก็เยอะขึ้นและเด่นขึ้นตามบทบาทในหนังสือ (อาจจะประกอบกับความดังที่มากขึ้นของตัว Ansel Elgort ด้วย หลังจากเล่นเป็นพระเอก The Fault in Our Stars)
แต่โดยรวม ในส่วนของตัวละคร เราชอบเรื่องนี้ก็ตรงที่มันมี “ความหลากหลาย” ดี ไม่ว่าจะเป็นความหลากหลายทางเชื้อชาติ สีผิว และอายุวัย รวมถึงการให้ผู้หญิงเป็นผู้นำของแต่ละกลุ่มหลายกลุ่ม ขาดก็แต่ประเด็นเพศที่สามที่เหมือนจะไม่เห็นใน Insurgent เว้นเสียแต่จริงๆ แล้วเขาเขียนให้ Peter แอบชอบ Caleb นั่นก็อีกเรื่องนึง…
เออ แต่จะว่าไป อีคู่นี้มันก็พอจิ้นกันได้อยู่นะ….
READ MORE: รีวิว Allegiant: อัลลีเจนท์ ปฏิวัติสองโลก
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 7.5/10
P.S. ภาคนี้นางเอกหั่นผมสั้น เพราะนางเพิ่งรับบทเป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งใน The Fault in Our Stars มาจ้า
49 comments