เมื่อวันก่อนขวัญได้ไปดู Disaster Movie เรื่อง Into the Storm คนเดียวมา
ตอนดู Trailer ก็ว่านึกถึง Twister ที่เคยดูตอนเด็กๆ แล้ว
พอมาดู Full Movie ยิ่งนึกถึง Twister เข้าไปใหญ่ จนถึงกับต้องไปโหลดบิตมาดู
(หมายเหตุ การโหลดบิตเป็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม ควรใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ)
จริงๆ แอบมีความหลังกับ Twister
จำได้ว่าเป็นหนังเรื่องแรกที่พ่อกับแม่พาเข้าไปดูในโรงหนัง ตอนนั้นเรายังประมาณ 7 ขวบเอง
และช่วงมัธยม ช่องเคเบิ้ลทีวีชอบเอามาฉายซ้ำ จึงได้ดูบ่อยมาก
แต่ตอนเด็กๆ ดูแล้วก็ไม่ได้คิดตามอะไร ดูเพื่อความบันเทิงและเอาความมันไปงั้นๆ
พอตอนนี้ (อายุ 25 ขวบแล้ว) มาดูซ้ำ ก็ได้แง่คิด ความสนุก และมุมมองที่ไม่เคยคิดถึงมาก่อนหลายอย่างเหมือนกัน
ข้อมูลเบื้องต้น Twister (1996)
ความยาว : 113 min
ผู้กำกับ : Jan de Bont (Speed)
คนเขียนบท: Michael Crichton (Jurassic Park) (เสียชีวิต 2008) และ ภรรยา Anne-Marie MartinLocation : ชนบท มีแต่ทุ่งสุดลูกหูลูกตา โดยฉากในหนังทั้งเรื่องคือ รัฐ Oklahoma
*Oklahoma เป็นรัฐที่ขึ้นชื่อว่าอากาศรุนแรง เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ใน Tornado Alley ถูกทอร์นาโดปะทะเฉลี่ย 54 ครั้งต่อปี
นักรายงานพยากรณ์อากาศ Bill Harding (Bill Paxton) มาหา Jo Harding (Helen Hunt) อดีตภรรยาซึ่งเป็นนักล่าพายุ เพื่อทำเรื่องเซ็นใบหย่า และไปแต่งงานกับ Dr. Melissa Reeves (Jami Gertz) แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็ต้องลับมาร่วมงานกันอีกครั้งโดยไม่ได้ตั้งใจ โดยภารกิจครั้งนี้คือการเอาเซ็นเซอร์ Dorothy ไปไว้ใจกลางพายุทอร์นาโด เพื่อจะได้ศึกษาและทำนายการเกิดทอร์นาโดที่มีประสิทธิภาพขึ้นได้ในอนาคต เพราะในสมัยนั้น ยังทำนายพายุล่วงหน้าได้แค่ 3 นาทีเท่านั้น ทีม Storm Chaser จึงต้องพยายามศึกษาและทำนายการเกิดพายุให้ได้ เพื่อจะได้เตือนภัยล่วงหน้าได้เร็วขึ้น
ประเด็นดราม่าของเรื่องมีแค่ปัญหารักสามเส้า แต่ไม่ได้เข้มข้นหรือซีเรียสมากนัก ออกแนวจะคลี่ปมได้ง่ายๆ ดื้อๆ เสียมากกว่า เหมือนพยายามใส่ดราม่ามางั้นๆ ตัดบทแฟนใหม่ของพระเอกทิ้งไปก็ไม่ได้รู้สึกขาดหายอะไร ส่วนประเด็นการต่อสู้แข่งขันกับทีมคู่แข่งก็ไม่ได้ฟาดฟันอะไรกันมาก นอกเสียจากแขวะกันไปแขวะกันมา และขับรถปาดกันไปปาดกันมา แค่นั้น
ความสนุกของหนังจึงอยู่ตรงที่พระนางของเราพยายามเอา Dorothy วิ่งไปหาพายุ และยังต้องรีบวิ่งหนีออกมาให้ทันก่อนตัวจะถูกถูกพายุกลืนเข้าไปด้วย ซึ่งซาวด์ประกอบก็ทำให้ลุ้นระทึกตลอดทั้งเรื่อง มันจริงๆ ถือว่าทำได้ดีมากๆ สมแล้วที่ได้ Nominated เข้าชิง Oscar สองรางวัล ได้แก่ Best Sound และ Best Effects เพราะ CG พายุและการทำลายล้างในฉากต่างๆ ทำออกมาได้เนียนและอลังการมากสำหรับวงการภาพยนตร์ในยุคนั้น (ถึงแม้จะมีบางฉากที่ขัดใจในความไม่สมจริงอยู่บ้าง เช่น พายุพัดจนวัวบิน รถแก๊สบิน แต่รถของพระเอกยังวิ่งไปหาพายุได้ โดยไม่มีทีท่าว่าจะปลิว)
สิ่งที่เราเห็นจาก Twister คือ ถึงแม้จุดประสงค์การล่าพายุของตัวละครจะเป็นไปเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี แต่หนังได้พยายามสื่อให้เราเห็นว่า ในการรับมือกับธรรมชาติ เราจะพึ่งพาแต่เทคโนโลยีไม่ได้ อย่างทีมของ Dr. Jonas Miller (Cary Elwes) ซึ่งเป็นทีมคู่แข่งของพระเอก มีเงินทุนหนา ใช้แต่เทคโนโลยีทันสมัย แต่ทำอะไรไม่ได้ นอกจากรออ่านข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ และวิ่งรอกตามขบวนรถของทีมพระนางเท่านั้น
ในขณะที่ Bill กับ Jo เป็นตัวละครที่ดูเหมือนจะรู้จักพายุมากที่สุดในเรื่อง เขาสามารถทำนายได้ว่าพายุกำลังจะมา โดยสัมผัสจากลมและดินทรายตามธรรมชาติ พวกเขาสามารถทำนายทิศทางการเคลื่อนตัวหรือหักมุมของพายุได้เพียงใช้สัญชาตญาณ เทคโนโลยีเป็นแค่ตัวช่วยตัวหนึ่งเท่านั้น ทั้งมนุษย์และเทคโนโลยีต้องทำงานร่วมกัน
แม้กระทั่งในตอนท้ายเรื่อง เราจะเห็นว่า สมองและสัญชาตญาณของพวกเขาเองนี่แหละ ที่ทำให้ Dorothy ของเขาได้ผล และยังพาตัวเองรอดตายจากกระเพาะพายุนรกนั้นได้โดยปลอดภัย :)
สิ่งหนึ่งที่ชอบ Twister มากขึ้นจากการดูครั้งนี้คือความเวรี่คลาสสิค เพราะหนังในปัจจุบันล้วนมี iPhone และ MacBook เป็นเครื่องมือสำคัญในแทบทุกกิจกรรมของตัวละคร แต่การได้ดูหนังเก่าอย่าง Twister ซึ่งถ่ายทำและฉายตั้งแต่ปี 1996 นั้น เหมือนได้ย้อนดูไทม์แมชชีนอย่างหนึ่ง เช่น โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ใช้ยังเป็นแบบมีปุ่มกดเป็นแผง มีเสาอากาศ และมีขนาดใหญ่เท่าๆ กับสากตำน้ำพริกกะปิ…
ส่วน Into the Storm เหมือนหนัง Twister เวอร์ชั่นยุคดิจิทัล เทคโนโลยีการทำนายพายุมีประสิทธิภาพมากกว่าสมัย Twister ขึ้นมาก จุดประสงค์การไล่ล่าพายุในเรื่องนี้จึงไม่ใช่เพื่อศึกษาพายุ หากแต่เป็นการถ่ายทำสารคดีหรือคลิปให้คนดูทางบ้านได้เสพ
ข้อมูลเบื้องต้น Into the Storm (2014)
ความยาว : 89 min
ผู้กำกับ : Steven Quale (Final Destination 5)
คนเขียนบท: John Swetnam (Step Up All In)Location : Oklahoma เช่นกัน
แต่ชุมชนดูมีความเป็น Urbanisation มากขึ้นกว่าใน Twister
พระเอก Gary (Richard Armitage : คนแคระจากเรื่อง The Hobbit) แบกรับสองบทบาทสำคัญ บทบาทแรก เป็นรองอาจารย์ใหญ่ประจำไฮสคูลของเมือง ต้องดูแลเด็กนักเรียนทั้งหมดจากภัยพิบัติ อีกบทบาท เป็นบทบาทพ่อ (Single Dad ซะด้วยสิ) ที่ต้องไปช่วยลูกชายจากซากโรงงานที่ถูกพายุพัดถล่ม โดยระหว่างทาง Gary ได้มาเจอ Allison (Sarah Wayne Callies : นางเอก Prison Break และ The Walking Dead) นักอุตุนิยมวิทยา พร้อมกับ Titus Team ของ Pete (Matt Walsh) ซึ่งเป็นทีม Documentary Filmmakers เกี่ยวกับพายุทอร์นาโด ที่มีภารกิจหลักคือ ต้องถ่ายภาพทอร์นาโดใหญ่ครั้งนี้ไว้ให้ได้ ไม่งั้นรายการอาจจะถูกยุบและทุกคนต้องตกงานกันยกแก๊ง
นอกเหนือจากเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน เช่น iPhone ที่ทุกคนมีไว้โทรติดต่อกัน โทรตอนสัญญาณถูกพายุรบกวนก็ฝาก Voice Mail ไว้ได้ และมีไฟฉายในตัวไว้ใช้ตอนคับขันอีกต่างหาก แล้วก็ยังมีความแตกต่างที่ Into the Strom พยายามยัดเข้ามาคือ Found Footage ตั้งแต่การถ่ายสารคดีของทีม Titus การทำวิดีโอของลูกชายทั้งสองของ Gary คือ Donnie (Max Deacon) และ Trey (Nathan Kress) เพื่อเป็นไทม์แคปซูลไว้ดูอีกทีใน 25 ปีข้างหน้า และยังมีตัวตลกบ้าบิ่นอีกคู่ที่พยายามถ่ายคลิปบ้าระห่ำของตัวเองกับทอร์นาโด เพื่อเรียกยอด View และยอด Like ใน Social Medias (แต่โดยส่วนตัวรู้สึกว่า อีสองตัวหลังนี้ดูเกินๆ ล้นๆ และชอบออกมาขัดซีนอารมณ์ตลอด)
ประเด็นดราม่าดูมีสาระและส่งเสริมสถาบันครอบครัวมากกว่า Twister แต่ยังดูหลวมๆ และเบาไปหน่อย ส่วนอื่นๆ โดยรวม ถึงแม้ CG จะเนียนอลังการ และสมเหตุสมผลกว่า Twister (ก็ตามยุคสมัยล่ะเนอะ) แต่ก็ไม่ค่อยมีฉากลุ้นระทึกที่น่าจดจำเท่าเรื่อง Twister มีก็แต่ฉากของ Pete ในตอนท้ายเท่านั้น ที่ต้องบอกว่าทำได้ดีมาก ตรึงตาตรึงใจจนต้องร้อง “โอ้โห!” กันทั้งโรง (ต้องไปดูกันเอาเอง) ส่วนประเด็นไทม์แคปซูลนั้นน่าสนใจมาก แต่ยังไม่สุด น่าจะทำให้ซึ้งและให้ข้อคิดกับคนดูได้มากกว่านี้ (หรืออาจจะเพราะหนังสั้นเกินไปก็ไม่รู้ แค่ชั่วโมงครึ่งเอง)
โดยสรุป ขวัญชอบความคลาสสิคของ Twister มากกว่า แต่ Into the Storm ก็ให้ความบันเทิงที่ไม่เลวและไม่เสียดายค่าตั๋ว เชื่อว่าถ้าตัวเองเกิดและโตในประเทศที่มีทอร์นาโดและลูกเห็บตกบ่อยๆ อาจจะอินกับหนังได้อีก
ป.ล. Into the Storm มีฉากล้อเลียน Twister ด้วยนะ ถ้ามีใครสังเกต “จักรยาน” ดีๆ
29 comments