Into the Woods รวมนิทานโปรดในวัยเยาว์ของพวกเราไว้หลายเรื่องในเรื่องเดียว โดยใช้ป่าเป็นศูนย์กลางของเรื่อง และใช้ป่าเป็นสัญลักษณ์ (symbolic) เป็นสถานที่ที่เปลี่ยนแปลงตัวละครไปทั้งในทางบวกและทางลบ โดยเฉพาะในด้านความเป็นตัวเอง ศีลธรรมจรรยา หรือความเป็นมนุษย์
Into the Woods เข้าชิง Golden Globes 2015 ทั้งสิ้น 3 สาขา ได้แก่
- Emily Blunt เข้าชิงสาขา Best Actress — Comedy or Musical
- Meryl Streep เข้าชิงสาขา Best Supporting Actress
- Best Motion Picture — Comedy (ซึ่งพ่ายให้ The Grand Budapest Hotel ขวัญใจเราเรียบร้อยรร. Wes Anderson)
และเข้าชิง Oscars 2015 อีก 3 สาขา (ส่วนใหญ่ก็แข่งกับ The Grand Budapest Hotel ของเราอีกนั่นแหละ~)
- Meryl Streep เข้าชิงสาขา Best Supporting Actress (อีกแล้ว!)
- Best Costume Design
- Best Production Design
เรื่องย่อ Into the Woods
Once upon a time ตัวละครต่างๆ ในเทพนิยายต่างก็ “wish” หรืออธิษฐานอ้อนวอนขอพรในสิ่งที่เขาต้องการ ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่เขาไม่ได้มีหรือสิ่งที่เขาไม่ได้เป็น เช่น
- สองผัวเมียร้านขนมปัง (James Corden จาก Begin Again และ Emily Blunt จาก Edge of Tomorrow) ที่อยากมีลูกด้วยกันแต่ไม่มีสักที
- Cinderella (Anna Kendrick จาก Twilight และ Pitch Perfect) ที่อยากไปงานเลี้ยงเต้นรำกับเจ้าชายในวัง (Chris Pine จาก Star Trek)
- หนูน้อยหมวกแดง หรือ Little Red Riding Hood (Lilla Crawford) ที่อยากปากท้องอิ่มและมีขนมไปฝากยาย (Annette Crosbie)
- Jack (Daniel Huttlestone จาก Les Misérables) ที่อยากให้ Milky-White แม่วัวของเขาให้น้ำนมได้เหมือนเคย กับแม่ของ Jack (Tracey Ullman) ที่อยากได้แก้วแหวนเงินทองและขอให้ลูกชายเลิกโง่สักที
แต่แล้ววันหนึ่งแม่มดข้างบ้าน (Meryl Streep จาก The Devil Wears Prada) ก็โผล่เข้ามาในร้านเบเกอรี่ และบอกกับสองผัวเมียว่าสาเหตุที่ทั้งสองไม่มีลูกสักทีเพราะนางสาปครอบครัวนี้ไว้ตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อ เนื่องจากพ่อของ Baker (Simon Russell Beale) ข้ามรั้วเข้ามาขโมยถั่ววิเศษและผักแสนรักแสนหวงในสวนของนาง แต่ทว่าวันนี้นางมาดี นางจะมาถอนคำสาปให้ เพราะนางก็อยากจะกลับไปเป็นแม่มดสาวสวยสะพรั่งแบบวันวานเต็มแก่ โดยการถอนคำสาปนั้นมีเงื่อนไขว่า ภายใน 3 ราตรี สองผัวเมียจะต้องไปตามหาไอเท็มมาให้นางทั้งสิ้น 4 อย่าง อันได้แก่
- วัวที่ขาวดั่งน้ำนม (the cow as white as milk) ซึ่งก็คือวัวของ Jack
- ผ้าคลุมสีแดงดั่งเลือด (the cape as red as blood) ซึ่งก็คือผ้าคลุมของหนูน้อยหมวกแดง
- เส้นผมที่เหลืองดั่งข้าวโพด (the hair as yellow as corn) ซึ่งก็คือผมอันยาวสลวยของ Rapunzel (Mackenzie Mauzy)
- รองเท้าสีทองบริสุทธิ์ (the slipper as pure as gold) ซึ่งก็คือรองเท้าแก้วของนางซิน
รีวิว/วิจารณ์ Into the Woods
ครึ่งแรกทรงพลัง แต่ครึ่งหลังหลงป่า ความรู้สึกเหมือนตอน Cinderella เจอเจ้าชาย ใหม่ๆ ก็ชอบ รู้สึกดี แต่พอดูกันไปนานๆ แล้วมันไม่ใช่ สรุปก็คือชอบก็ชอบนะแต่รวมๆ มันยังไม่ใช่
เป็นเรื่องที่ลำบากใจในการวิจารณ์มาก เพราะกลัวพิมพ์อะไรไปแล้วทำให้แฟนๆ ของหนัง Into the Woods ขุ่นเคืองจิตใจ แต่เอาเป็นว่าเราจะค่อยๆ ตะล่อมจากข้อดีหรือจุดแข็งของหนังเรื่องนี้กันก่อนละกัน
อย่างที่ทราบกันดี Into the Woods เป็นหนังแนว musical ที่เคยเป็นละครเวทีบรอดเวย์มาก่อน ดังนั้นในแผ่นฟิล์มของดิสนีย์นี้ก็จะคงกลิ่นอายของความเป็นละครเพลงไว้ และนักแสดงก็จะ “เล่นใหญ่” จอแตกประหนึ่งละครรัชดาลัยเธียเตอร์
ในส่วนของความเป็นหนังเพลง เราถือว่าทำดีทีเดียว ไพเราะจับใจและอินมาก ทั้งนี้อาจเพราะ Rob Marshall ผู้กำกับฯ มีประสบการณ์ด้านนี้อย่างช่ำชองจากเรื่อง Chicago และ Nine ประกอบกับความสามารถของนักแสดงทุกคนในเรื่อง เล่นดีมากและร้องเพลงเก่งมากจริงๆ
นักแสดงที่โดดเด่นทั้งการแสดงและเสียงร้องที่สุดก็เป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากขุ่นแม่ Meryl Streep ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงสาขา Best Supporting Actress ถึงสองเวทีใหญ่ของโลก (ลูกโลกทองคำและตุ๊กตาทองออสการ์)
นางดูเป็นชะนีที่สง่าและมีจริตจะก้านที่เริ่ดไร้ที่ติ ฉากที่เลอค่าที่สุดและชวนให้คนดูอินตามมากที่สุดของนางในเรื่องคือฉากที่ร้องเพลง Stay With Me ซึ่งแสดงถึงความรักและความเป็นห่วงของแม่ที่มีต่อลูกสาว (Rapunzel)
ส่วน Emily Blunt ที่ได้เข้าชิง Best Actress — Comedy or Musical ของลูกโลกทองคำ เราว่านางก็แสดงดี เจิดจรัสกว่านักแสดงคนอื่นๆ บนจอ เธอมีเสน่ห์ และทำให้คนดูจดจำเธอได้ในหลายๆ ฉาก โดยเฉพาะฉากที่ร้องเพลง Moments In The Woods ซึ่งต่อสู้กับความสับสนภายในจิตใจของตัวเองหลังจากเจอเจ้าชายรูปงาม
แต่โดยรวมนางก็ไม่ได้ทรงพลังหรือเพอร์เฟ็กต์ชนาดจะไปสู้ nominees จากเรื่องอื่นๆ ได้ (รางวัลดังกล่าวจึงได้ตกเป็นของ Amy Adams จาก Big Eyes ไปตามระเบียบ)
อีกคนที่โดดเด่นไม่น้อยหน้าใครก็คือผู้หญิงที่สวยที่สุดในเรื่อง Anna Kendrick ซึ่งเริ่มไต่เต้าจากบทตัวประกอบเล็กๆ เป็นเพื่อนนังชะนีหน้าตาย Bella (Kristen Stewart) ใน Twilight และค่อยๆ เก็บชั่วโมงบินมาเรื่อยๆ จนมาแจ้งเกิดเต็มตัวใน Pitch Perfect เพราะเธอเป็นนักแสดงมากความสามารถที่มีเสียงเพลงเป็นเอกลักษณ์จับใจ
สำหรับเรื่องนี้ ฉากร้องเพลงของนางที่เราชอบมากที่สุดคือ On the Steps Of the Palace ซึ่งเป็นฉากที่นางซินวิ่งหนีเจ้าชายลงบันไดวัง (อันยาวไกลเยี่ยงทางขึ้นเขาพระสุเมรุ) และตีความใหม่เกี่ยวกับการตัดสินใจทิ้งรองเท้าแก้วของนางไว้ให้เจ้าชายอย่างน่าสนใจ
ส่วนคนที่เซอร์ไพรส์คนดูสุดๆ เรียกเสียงหัวเราะและเสียงปรบมือจากคนดูในโรงได้มากที่สุด ก็คงเป็นเจ้าชาย Prince Charming หรือ Chris Pine โดยเฉพาะฉากที่เขาร้องเพลง Agony คู่กับเจ้าชายอีกคน (Billy Magnussen) ซึ่งเป็นกิ๊กของ Rapunzel
ฉากนั้นจริงๆ เนื้อหาคร่ำครวญถวิลหาถึง Cinderella กับ Rapunzel แต่กลับเป็นฉากที่ฮามาก ตอนแรกว่าจะทำขรึม จะไม่ขำ แต่คนเขาขำและกรี๊ดกร๊าดกันทั้งโรง นี่เลยกรี๊ดตาม มันเกิดมากจริงๆ ฉากนี้ เขาจ้างมา 10 แต่พวกนางเล่นไป 100 ต้องไปดูกันเอง
เพลงอีกเพลงที่อยากชมคือเพลง Your Fault ที่ร้องด้วยกัน 5 คน (นางซินฯ, คนขายขนมปัง,หนูน้อยหมวกแดง, แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์, และนางแม่มด) เนื้อหาสะท้อนสันดารมนุษย์ดี ที่เวลาเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แทนที่จะช่วยกันหาทางแก้ปัญหา กลับเอาแต่โทษคนนู้นคนนี้ หาแพะรับบาป ยัดความผิดให้ใครก็ได้เพื่อให้ไกลจากตัวเองมากที่สุด ฉากนี้พีค มีสาระด้วย แต่เร็วมาก ฟังแทบไม่ทัน อ่านก็แทบไม่ทัน – –
อย่างไรก็ตาม ชอบฉากนี้นะ ฉากนี้ถือเป็นหนึ่งในไม่กี่ซีนที่เรารู้สึกว่าดีในช่วงครึ่งหลังของเรื่อง เพราะครึ่งหลังของเรื่องมัน “ป่วย” มากจริงๆ
ก็อย่างที่บอกไปแล้ว ถึงแม้จะเพลงเพราะ นักแสดงเก่ง แต่ก็มีแค่ช่วงครึ่งแรกที่สนุกเพลิดเพลิน (จะติเสียก็แต่ หมาป่าหรือป๋า Johnny Depp มีบทน้อยกว่าที่คาดหวังไว้ค่อนข้างมาก)
พอถึงช่วงหลังซินเดอเรลล่าแต่งงานกับเจ้าชายไปแล้วเท่านั้นแหละ หนังค่อยๆ ถอยหลังลงคลองทันที ถอยๆๆ จนไปตกเหวตายสนิทพร้อม Emily Blunt (อุ๊ปส์!) และหลังจากฉากนั้นเป็นต้นไป ก็ดับสนิท หมดกัน… ความดีงามที่อุตส่าห์สร้างสมไว้ในช่วงครึ่งแรก ลาก่อน
หรือว่าเราควรโทษยักษ์ตัวเมีย (Frances de la Tour มาดามโย่งแห่ง รร. Beauxbatons ใน Harry Potter and the Goblet of Fire) ที่ปีนต้นถั่วลงมาพังทำลายบ้านเมืองในโลเกชั่นไม่พอ ยังทำลายหนังของมันเองอีก?
คือเราเชื่อว่า จริงๆ แล้ว คนทำหนังหรือตัวบทดั้งเดิมเอง (ไม่เคยอ่านนะ มั่วเอา) ก็ตั้งใจจะทำให้ช่วงองก์สุดท้ายมีไคลแมกซ์คือการสู้กับนางยักษ์ แต่ปรากฏคือมันง่อยมากในสายตาของเรา โปรดักชั่นระดับยักษ์ใหญ่ มีปัญญาทำ CG ยักษ์ออกมาได้แค่นี้เองหรอ หรือเอางบไปจ่ายค่าตัวนักแสดงกับคอสตูมหมดแล้ว
เอาเจ็บๆ ก็คงต้องบอกว่า นางยักษ์ในละครจักรๆ วงศ์ๆ ช่องเจ็ดสีทีวีเพื่อคุณ ยังดูน่าสะพรึงมากกว่า
แล้วทีม Rapunzel กับเจ้าชายของนางก็เป็นจุดอ่อนของเรื่อง ถ้าจะดัดแปลงบทให้สองคนนี้มีบทบาทเหลือเพียงแค่นี้ สู้ตัดบทของคู่นี้ทิ้งไปเสียดีกว่า เพราะตัดไปก็ไม่มีผลอะไรต่อการดำเนินเรื่อง ซึ่งคนที่เคยดูตัวบรอดเวย์มาก่อนเขาบอกว่า จริงๆ Rapunzel ต้องถูกนางยักษ์ฆ่าตาย แล้วมันจะอิมแพคกับจิตใจของนางแม่มด เรื่องราวตรงนี้จะสมเหตุสมผลมากกว่าในหนัง
เออ… นี่ก็ไม่เข้าใจหนังว่าดัดแปลงอีท่าไหน เขียนให้ Rapunzel กระโดดขึ้นอานม้าไปกับเจ้าชาย แล้วก็ไม่โผล่ออกมาอีกเลยจนจบเรื่อง หนังไม่ให้ความสำคัญกับนางเลยด้วยซ้ำ จน end credit แล้วก็ไม่มีการเฉลยว่า ตกลง Rapunzel เป็นน้องสาวของ the baker ที่นางแม่มดเอามาเลี้ยงตั้งแต่แบเบาะใช่หรือไม่
สรุปคืออะไร ปูเรื่องไว้แต่แรกทำไม? ปูไว้เพื่อให้คนดูไม่งงแค่นั้นหรือว่าทำไมนางแม่มดคานทองถึงมีลูก? (ไม่รู้ว่าในต้นฉบับเขาเฉลยแบคกราวนด์ของ Rapunzel หรือเปล่า ใครรู้ก็ช่วยบอกทีนะ) หรือเขาเฉลยแล้ว แต่ตอนนั้นเราหลับอยู่?
แล้วเวลาที่ Mackenzie Mauzy (Rapunzel) กับ Billy Magnussen (เจ้าชาย) ซึ่งเป็นนักแสดงระดับโนเนมอยู่แล้ว มาร่วมเฟรมพร้อมกับเจ๊ Meryl Streep นี่ไม่ต้องพูดถึงเลย ความหนุ่มความสาวของทั้งสองไม่ช่วยให้สายตาคนดูคล้อยตามอิริยาบถของเขาได้เลยสักนิด ทั้งสองโดนรัศมีตัวแม่คนเดียวกลบมิดตายสนิท (เรื่องหน้า แนะนำให้เอา Taylor Swift มาเล่นเป็น Rapunzel หรือไม่ก็ลองให้ Billy ถอดเสื้อเล่น)
จุดอ่อนอีกประการที่เชื่อว่าหลายคนก็คงขัดใจก็คือ ฉากที่นางซินฯ พูดกับเจ้าชายว่า “My father’s house was a nightmare; your house was a dream. Now I want something in between.” ฉากนี้รั่วมาก ในหนังนางซินฯ เพิ่งแต่งงานกับเจ้าชายหมาดๆ ยังไม่ทันจะเข้าวัง ยักษ์ก็ลงมาอาละวาดแก้แค้นให้ผัวเสียก่อน แล้วนางซินฯ เอาอะไรมาพูดว่าบ้านใหม่หรือปราสาทของเจ้าชายนั้นไม่ดี
ถ้าเอาเท่าที่คนดูเห็นในหนังคือ นางไม่พอใจเจ้าชายที่เจ้าชู้หลายใจ ซึ่งถ้าแค่นั้นจริงๆ นางก็ควรจะตัดพ้อเจ้าชายแทน ไดอะล็อก “My father’s house was a nightmare; your house was a dream. Now I want something in between.” นี้ยังไม่เหมาะสมสำหรับซีนนี้ในหนัง
แต่ถ้าหนังไม่ตัดซีนสำคัญที่นางซินฯ ได้เข้าไปใช้ชีวิตในวังนั่นออกไป เออ… อันนี้เข้าใจถ้านางจะตัดพ้อว่าชีวิตในวังมันไม่ใช่วิถีของนาง ลาก่อน
โดยสรุป Into the Woods เป็นหนังที่เหมาะเพื่อความบันเทิง จุดแข็งของหนังอยู่ที่เพลง นักแสดง และโปรดักชั่น (ไม่นับยักษ์) โดยเฉพาะครึ่งแรกของหนังถือว่าน่าชมเชย ถ้าเรื่องทั้งหมดจบแค่ฉากที่นางซินฯ เข้าวัง ก็คงโหวตคะแนนให้สูงกว่านี้ แต่พอช่วงครึ่งหลังมันออกมาไม่ดี มันดร็อป และมันแดร็กหนังลงเหว (แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายมากหรอก เราแค่ผิดหวังปนเสียดายเองเป็นการส่วนตัว)
เราจึงขอให้คะแนนตามความชอบส่วนตัวสำหรับ Into the Woods ไว้ที่ 7/10
ชมคลิปตัวอย่างภาพยนตร์
Happily ever after (หรอ?)
43 comments