เราเห็น La Famille Bélier (อ่านว่า “ลา ฟามิลล์ เบลิเยร์“) หรือ The Bélier Family ครั้งแรกในทวีตของใครสักคน ตอนนั้นก็แอบสะดุดตา เพราะเป็นหนังโรงเรื่องเดียวในช่วงนี้ที่ title เป็นภาษาฝรั่งเศส และเขาโม้อย่างดิบดีว่า เป็นหนังที่ทำรายได้สูงมากในประเทศฝรั่งเศส
และที่น่าสนใจสุดคือ เขาบอกว่า คนดูแต่ละคนต่างก็ #ร้องไห้หนักมาก ในโรง!
เรื่องย่อ La Famille Bélier
ครอบครัว Bélier เป็นครอบครัวที่หูหนวกโดยกำเนิดกันทั้งตระกูล มีเพียงลูกสาวคนโต Paula Bélier (Louane Emera จากรายการ ‘The Voice: la plus belle voix’ season 2) คนเดียวที่ได้ยินและพูดได้ปกติ เธอจึงเป็นกำลังสำคัญในการทำมาหากิน พวกเขาทำฟาร์มเล็กๆ และขายชีสในตลาดเล็กๆ ของเมือง Normandy
Paula ชวนเพื่อนสนิทของเธอ Mathilde (Roxane Duran) ไปลงเรียนวิชาขับร้อง (หรือชมรม… สักอย่าง) เพราะ Gabriel Chevignon (Ilian Bergala) ชายหนุ่มที่เธอหมายปองลงเรียนนั้น และที่นั้นเอง Paula ได้ค้นพบว่าตัวเองมีพรสวรรค์ด้านการร้องเพลง ซึ่งอาจารย์ Fabien Thomasson (Eric Elmosnino) ก็สนับสนุนผลักดันเธอเต็มที่ ทั้งให้ร้องเพลงคู่กับ Gabriel ในงานโรงเรียน และช่วยฝึกซ้อมร้องเพลงให้เธอได้ไปออดิชั่นเข้าเรียนที่ La Maîtrise de Radio France โรงเรียนสอนขับร้องที่ดีที่สุดใน Paris
ในขณะที่ Paula แอบไปฝึกซ้อมร้องเพลงกับอาจารย์ Fabien พ่อของเธอ Rodolphe Bélier (François Damiens) ก็ลงสมัครเลือกตั้ง เพื่อแข่งกับเจ้าของเก้าอี้คนเก่าซึ่งเอาเปรียบประชาชน ซึ่งแน่นอนว่าพ่อและแม่ของเธอ Gigi Bélier (Karin Viard) ต้องการเสียงของ Paula เป็นสื่อกลางในการช่วยเขาหาเสียง หรือสื่อสารความคิดความรู้สึกของเขากับโลกภายนอก
Paula รู้ดีว่าเธอเป็นความหวังเดียวของพ่อแม่ และเป็นกำลังสำคัญของบ้าน เนื่องจากน้องชายของเธอ Quentin Bélier (Luca Gelberg) ก็หูหนวกเหมือนกัน เธอจึงจำเป็นต้องตัดสินใจเลือก ระหว่างความฝันที่ยิ่งใหญ่กับครอบครัวที่เธอรัก
รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ La Famille Bélier
La Famille Bélier มีประเด็นให้เขียนหลายเรื่องมาก เพราะหนังเล่นประเด็นเยอะเรื่องจริงๆ (เยอะจนตัวนางเองก็เก็บประเด็นตัวเองไม่หมดในบทสรุป โถ…) แต่เราจะเล่าสรุปๆ ทีละเรื่องๆ เฉพาะเรื่องสำคัญ โดยจะระวังไม่ให้สปอยล์เนื้อหาสำคัญของหนังเท่าที่จะทำได้
1. ความฝัน
ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่า La Famille Bélier เป็นหนังแนวค้นฟ้าคว้าดาว ซึ่งที่ผ่านมาก็มีหนังแนวนี้เยอะเลย ตัวละครนำเป็นวัยรุ่นหญิงที่มีความฝันอยากเป็นดารานักร้องหรือประสบความสำเร็จอะไรสักอย่าง ระหว่างทางก็ตกหลุมรักกับชายในฝันที่(ตอนแรก)เขาไม่สนใจเรา และเพิ่มความพีคโดยการใส่ conflict สกัดฝันเข้าไปให้นางสะดุดล้มแล้วหาทางลุกขึ้นมาใหม่ อืม ตามสูตร…
ถึงแม้พล็อตหนังในภาพรวมจะดูตามสูตร แต่ดีเทลในเรื่องมีความพิเศษที่สดใหม่ น่าสนใจ และเข้าใจเล่น เราชอบที่เขาผูกเรื่องให้ นางเอกเป็นเด็กปกติที่มีพรสวรรค์ด้านการร้องเพลงแต่เกิดมาในครอบครัวที่ทุกคนหูหนวก เออ เราคิดว่าคนคิดธีมหนังเขาฉลาดดี เราฟังแล้วเราอยากดูนะ
หนังมันเหมาะกับคนทุกคน คือเราเชื่อว่าทุกคนมีความฝันแต่หลายคนก็เดินตามเส้นทางนั้นไม่ได้เพราะมีปัญหาส่วนตัวบางอย่าง เช่น บางคนไม่สามารถไปเรียนต่อได้เพราะไม่มีเงินทุน บางคนไม่สามารถไปทำงานต่างประเทศได้เพราะกลัวจะไม่มีใครดูแลพ่อแม่ที่แก่เฒ่าลงทุกวัน บางคนอยากทำหรืออยากเป็นอะไรสักอย่างแต่พ่อแม่ไม่เห็นด้วย ฯลฯ ซึ่งปัญหาพวกนี้ทำให้คนหลายคนจำเป็นที่จะต้องพับโครงการฝันใหญ่นั้นลง หรือไม่ก็ลดสเกลความฝันของตัวเองให้เล็กลง เราเจอแบบนี้กับคนใกล้ตัวมาเยอะแล้วเหมือนกัน
La Famille Bélier เป็นหนังอีกเรื่องที่พยายามถ่ายทอดความคิดให้คนดูว่า “ชีวิตเป็นของเรา” พร้อมทั้ง inspire และ motivate นักล่าฝันทุกคนให้เพิ่ม effort ของตัวเอง แทนที่จะไป give up หรือลด goal ให้มันเป็นไปได้ง่ายขึ้น ซึ่งเราคิดว่าหนังเขาก็ทำจุดนี้ออกมาได้ดีงามตามครรลอง เราได้เห็นว่าถ้าเราเจอปัญหา เราต้องรู้แจ้งว่าปมคืออะไร แล้วไม่ใช่แค่ว่าเราต้องแก้ให้ถูกปม แต่เราต้องแก้ปมนั้นให้ถูกวิธีด้วย
เราเคยดูหนังแนวนี้เรื่องไหนสักเรื่อง ที่ตอนแรกพ่อแม่ก็ไม่เข้าใจตัวละครเอกที่อยากจะร้องเพลงหรือเล่นละคร แต่สุดท้ายก็ยอมรับและภูมิใจเมื่อได้ไปดูลูกแสดงเองในฮอลล์ท่ามกลางความชื่นชมของคนดูคนฟัง แต่พ่อแม่ของ Paula Bélier ไม่เหมือนพ่อแม่คนอื่น เรื่องของเธอจึงไม่น่าจะลงเอยง่ายๆ อย่างในหนังเรื่องนั้น
Paula เองก็รู้ดีว่า อุปสรรคของเธอไม่ใช่แค่พ่อแม่ “ไม่เข้าใจ” เธอ ที่หนักกว่านั้นคือพ่อแม่ของเธอ “ไม่ได้ยิน” พวกเขาไม่มีวันรู้เลยว่าลูกสาวตัวเองเสียงไพเราะขนาดไหน แล้วแน่นอนว่า การพยายามทำให้พวกเขาได้ยินไม่ใช่การแก้ปมปัญหาที่ถูกจุดในระยะยาว ไม่ว่าจะด้วยวิธีการพูดให้ช้าลง (เพื่อให้เขาอ่านปาก) หรือการพูดให้เสียงดังขึ้น (เช่นการตะโกนแหกปาก) ก็ตาม
ยังดีที่ Paula ฉลาดพอที่จะคิดได้ว่า โสตประสาทหรือ “การได้ยิน” ไม่ใช่เซนส์เดียวของ “การรับรู้ (perception)” ของมนุษย์ เธอพยายามทำให้พ่อแม่ “ได้เห็น” และ “ได้สัมผัส” ความฝันของเธอ ผสมผสานกับ “ภาษามือ” ซึ่งเป็นวิธีเบสิคที่สุดในการสื่อสารกับคนหูหนวกและเป็นใบ้ แล้วในที่สุดพ่อแม่ของเธอก็ “เข้าใจ” และ “รับรู้” ได้จากหัวใจ
2. ครอบครัว
ประเด็นความฝันอาจจะขึ้นอยู่กับความอินส่วนบุคคล ใครมีความฝันหรืออุปสรรคคล้ายนางเอกหน่อยก็คงอินมากหน่อย แต่ที่แน่ๆ จุดแข็งของหนัง La Famille Bélier คือเขาขยี้ปมครอบครัวได้พีคมาก #ร้องไห้หนักมาก อย่างน้อยที่สุด ณ ขณะนั่งดูหนังเรื่องนี้ เราเชื่อว่าเกือบทุกคนจะต้องหลงรักครอบครัว Bélier อย่างที่เราหลงรัก ทั้งหัวเราะ ร้องไห้ และยิ้มให้กับพวกเขาตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง
ครอบครัว Bélier อาจจะไม่ใช่ครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อม จะบอกว่าธรรมดาก็ธรรมดา จะบอกว่าไม่ธรรมดาก็ไม่ธรรมดา แต่ที่แน่ๆ ครอบครัว Bélier เป็นครอบครัวที่มีความสุขที่สุดครอบครัวหนึ่ง และอาจจะอบอุ่นน่าอยู่มากกว่าครอบครัวที่มีเงินทองมากมายหรือทุกคนสมบูรณ์ปกติ 32 ประการเสียด้วยซ้ำ โดยพวกเขาไม่เคยคิดว่าหูหนวกเป็นอุปสรรคในการดำรงชีวิตหรือประกอบอาชีพแต่อย่างใด
คนทั่วไปอย่างเราๆ ไม่ต้องมองหน้ากันก็ได้เวลาพูดใช่มั้ย? แต่สำหรับคนหูหนวกกับเป็นใบ้มันไม่เหมือนกัน เมื่อเขาไม่ได้ยินด้วยหู เขาก็จะต้อง “ตั้งใจฟัง” อีกฝ่ายมากขึ้น และจำเป็นมากที่จะต้องใช้ตา “มอง” คู่สนทนาตลอดเวลา แล้วในหนังเราจะเห็นว่าครอบครัวนี้น่ารักตรงที่ ถึงแม้พวกเขาจะพูดไม่ได้ แต่พวกเขาจะ “สื่อสารกัน” ตลอดเวลา มีอะไรเขาก็ “คุยกัน” ซึ่งอย่างที่เรารู้กันอยู่แล้วว่า การสื่อสารมันเป็นหัวใจสำคัญของความเข้าใจซึ่งกันและกัน แต่ก็ไม่รู้ว่า ครอบครัวคนปกติอย่างเราจะ “คุยกัน” มากพอที่จะ “เข้าใจกัน” แล้วหรือยัง
คาแรกเตอร์ของคนในครอบครัวนี้แต่ละตัวจะชัด เช่น พ่อที่มุ่งมั่นตั้งใจมีโอบามาเป็นไอดอล แม่ที่สวยสะบรึมติดสวย และน้องชายคนเล็กที่จะสนใจใคร่รู้ในเรื่องเซ็กส์ แต่คนที่น่าทึ่งที่สุดในเรื่องคือ Paula เด็กสาวที่โตมาท่ามกลางพ่อแม่และน้องชายที่พิการทางหู (เออ ถ้าวัดกันจริงๆ นางถือว่าเป็นคนที่แปลกที่สุดในบ้านโนะ)
Paula เป็นตัวละครที่เป็นตัวแทนของเด็กสองกลุ่มในชีวิตจริงที่เราเคยเห็น กลุ่มแรกคือกลุ่มที่อายพ่อแม่หรือภูมิหลังครอบครัวตัวเอง (เช่น พ่อแม่หูหนวก พ่อแม่เป็นเกษตรกร บลาๆๆ) และอีกกลุ่มคือกลุ่มที่ต่อสู้และรักครอบครัวมากไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ที่สำคัญคือ ไม่ว่าเรื่องเรียนหรือเรื่องฝันของเธอจะสำคัญแค่ไหน เธอก็ไม่เคยลืมที่จะจัด priority แรกๆ ให้ครอบครัวของเธอก่อนเสมอ
มีหลายฉากที่เราดูแล้วว่าเราเข้าใจ Paula นะ คือไอ้รักมันก็รัก แต่ในบางทีน่ะ อายมันก็อาย โกรธมันก็โกรธ แต่เพราะคนอื่นเขาไม่ได้เข้าใจพ่อแม่เธออย่างที่เธอเข้าใจ เธอก็ต้องเหนื่อยหน่อย แต่พอเธอผ่านมันไปได้ สุดท้ายเธอก็เติบโตขึ้นเป็นคนที่แกร่งกว่าคนอื่นๆ รุ่นราวคราวเดียวกัน และคนกตัญญูอย่างเธอก็ย่อมสมควรจะได้รับสิ่งดีๆ เป็นการตอบแทน ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนในฝัน หรือแม้กระทั่งเจ้าชายในฝัน (อืมมม…)
3. ชายในฝัน
ตามประสาหนังวัยรุ่นฟีลกู้ดคือจะต้องพยายามยัดเยียดบทชายในฝันหรือหาคู่รักบทเบาๆ (ทั้งที่ไม่ต้องมีก็ได้) ให้กับตัวละครเอก โดย La Famille Bélier เลือกหนุ่มหล่อหัวฟู Gabriel มาเป็นคู่กุ๊กคู่กิ๊กกับ Paula
แต่เอาตรงๆ เราว่าอีตาพระเอกนี่เป็นจุดอ่อนของเรื่องเลยนะ เป็นบทที่ไม่ต้องมีก็ได้ ไม่ได้เป็นปัจจัยหรือกุญแจใดใดของเส้นเรื่อง เหมือนผีเดินลอยไปลอยมา เช่น จู่ๆ ก็ไปกิ๊กกับผู้หญิงคนหนึ่งในนางเอกเกลียด แล้วจู่ๆ ก็เลิกกับผู้หญิงคนนั้นกลางโรงเรียน แล้วจู่ๆ ก็จะร้องเพลงกับนางเอก แล้วจู่ๆ ก็จะไม่ร้องเพลงกับนางเอก แล้วจู่ๆ ก็อยากไปเรียนที่ปารีส แล้วจู่ๆ ก็ไม่อยากไปเรียนที่ปารีส คือ WTF วะคะ คือดูแล้วก็งงนะว่าตกลงคนที่เมนส์มาคือพระเอกหรือนางเอกกันแน่ แล้วงงด้วยว่าแต่ละซีนพี่แกออกมาทำอะไรเพื่อจุดประสงค์อันใดกันแน่
ส่วนเรื่องความหล่อ (เอาตรงๆ อีกนะ) ก็ไม่ได้หล่อมากมายก่ายกองอะไร ตัวประกอบหลายคนในเรื่องยังหล่อกว่า แต่ไม่เป็นไร โดยผิวๆ ก็พอจะหยวนๆ กันได้ เพราะเราก็ชอบผู้ชายทำผมฟูๆ เป็นการส่วนตัวน่ะนะ อิอิ
4. คนชายขอบ
ในสังคมประชาธิปไตย ไม่ได้มีแค่ “เสียงข้างน้อย” กับ “เสียงข้างมาก” แต่ยังมี “เสียงน้อย”, “เสียงมาก”, และ “ไม่มี(สิทธิ)เสียง” อยู่ด้วย เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง มันยากมากที่ทุกคนจะมีสิทธิมีเสียงเท่ากัน บ่อยครั้งที่คนมีเงินมีอำนาจจะ “เสียงดัง” กว่าชาวบ้านธรรมดาหรือชนชั้นกลางทั่วไป
เราชอบที่หนังเลือกให้พ่อของนางเอก ซึ่งพูดไม่ได้ (เพราะหูหนวกแต่กำเนิด) เป็นคนที่พยายามเป็นปากเป็นเสียงเพื่อสังคมส่วนรวม คือเราชอบพ่อของนางเอกนะ ดูเป็นพ่อตัวอย่างดี เป็นคนพิการที่ไม่พิการ เขาไม่เคยมองว่าความพิการคือปมด้อย แถมยังเป็น role model ที่ดีของคนหลายกลุ่มอีกด้วย ทั้งในฐานะพ่อของลูก ฐานะหัวหน้าครอบครัว หรือในฐานะพลเมืองที่ดีของประเทศ
ในหนังจะพูดถึงประธานาธิบดี Barak Obama ค่อนข้างบ่อย เรียกได้ว่าประธานาธิบดีผิวสีคนนี้เป็นไอดอลของพ่อนางเอกเลยก็ว่าได้ เราชอบความคิดทัศนคติของพ่อนางเอกเกี่ยวกับประเด็นคนชายขอบที่สื่อในหนังเรื่องนี้ เขาไม่เคยเอาความพิการของตัวเองมาเป็นข้ออ้างหรือข้อจำกัดตัวเองในการจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไร ซึ่งถ้าเราลองมองโลกในแบบที่พ่อของนางเอกมองดูบ้าง ชีวิตเราก็คงจะไปได้ไกล ต้องลองดู
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้พ่อนางเอกจะดูเป็นผู้ใหญ่ที่คิดบวกและคิดใหญ่ แต่หนังใส่ความ tragic ลงไปเบาๆ ให้กับเขาอยู่ดี กล่าวคือ เขาต้องพึ่งพา “เสียง” ของลูกสาว ให้เธอเป็น translator คอยช่วยแปลภาษามือเป็นภาษาที่คนปกติเข้าใจ เพื่อจะได้ “หาเสียง” หรือสื่อสารกับประชาชนได้ แล้วก็มีความน้อยใจหรืองอนลูกสาวบ้างเวลาลูกให้ความสำคัญกับอย่างอื่นมากกว่าเขา
ทั้งนี้ทั้งนั้น ประเด็นหาเสียงเลือกตั้งนี้เป็นดราม่าเล็กๆ ที่เกือบจะขยี้ใจคนดูได้อีกดอกละ แต่เสียดายที่จู่ๆ เรื่องการหาเสียงมันก็หายไปเลย แบบว่าช่วงท้ายเรื่องหนังไปโฟกัสแต่การตะกายดาวของนางเอกเท่านั้น ซึ่งถือเป็นข้อผิดพลาดที่ไม่ใหญ่หลวงมากนัก แต่ก็เป็นช่องโหว่อีกข้อที่เราต้องขอหักคะแนนให้หนังจริงๆ
ส่วนประเด็นที่เขาว่ามีดราม่าว่าหนังถ่ายทอดภาษาใบ้หรือสเตอริโอไทป์ของคนหูหนวกไปในทางไหนอะไรยังไงนั่น เราขอไม่ออกความเห็นละกัน กลัวถูกสอยไปด้วย แต่เอาจริงๆ เราก็ไม่รู้สึกว่าคนทำหนังเขาทำออกมาในเชิงดูถูก หรือมีข้อผิดพลาดอะไรที่ถึงกับไม่น่าให้อภัยนาาาา… (เออ จบไป ไหนบอกว่าจะไม่พูดไง เอ๊~)
5. สรุป
La Famille Bélier เป็นหนังฟีลกู้ดจากแดนมาการอง เหมาะกับทุกคนในครอบครัว ยกเว้นถ้าเด็กมากๆ อาจจะไม่เหมาะกับมุกบางมุกในเรื่อง แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายนะ คือเราชอบ มุกตลกเขาก็น่ารักดี ขำเหอะ (ส่วนหนึ่งอาจต้องขอบคุณคนทำ subtitle)
ความดีงามที่สุดที่เชียร์ขาดใจเลยคือดราม่าครอบครัว ส่วนประเด็นคนหูหนวกหรือคนชายขอบก็ทำออกมาได้น่ารัก โดยเฉพาะซีนที่นางเอกร้องเพลงในงานโรงเรียนกับซีนที่นางเอกร้องเพลงออดิชั่นนะ พีคมาก พีคเลย น้ำตาไหล #ร้องไห้หนักมาก
ส่วนพล็อตอาจจะดูเหมือนตามสูตรและมีช่องโหว่อยู่บ้าง แต่ดีเทลหรือไอเดียของเรื่องคือดีงาม น่าสนใจ และถ่ายทอดได้ถึงเลยทีเดียวแหละ ทั้งนี้ส่วนหนึ่งก็คือต้องยกความดีความชอบให้ทีมนักแสดงนำ คือทุกคนในครอบครัว Bélier เล่นดีมากกกกกกกกกกส์ ดูแล้วหลงรักเลย แล้วเชื่อด้วยว่าพวกเขากำลังเป็นคนหูหนวกกันจริงๆ
อย่าง Louane Emera นางเอกของเรื่องนี่เก่งมาก ยกนิ้วเลย อาจจะไม่ได้สวยโดดเด้งอะไรมาก แต่นางเอาอยู่ทั้งเรื่อง นางเล่นถึง แสดงดี ดูแล้วอิน ร้องเพลงก็เพราะ (ตามครรลองของ The Voice ฝรั่งเศส) ทั้งๆ ที่ต้องพูดภาษามือไปด้วยป้าบๆๆ เพลงแต่ละเพลงที่นางร้องก็ความหมายดี ส่วน Karin Viard ที่เล่นเป็นแม่นางเอก นางก็เล่นใหญ่มาก แต่ก็ตลกดี ไม่รู้สึกว่าเยอะเกินไป ชอบนางนะ เป็นทั้งคนหูหนวกที่ดี เมียที่ดี และแม่ที่ดีในเวลาเดียวกันได้ขนาดนี้
โดยสรุป La Famille Bélier อาจจะไม่ได้เป็นหนังที่เพอร์เฟ็คต์และอาจจะไม่ได้ถูกจริตกับคนทุกคน แต่โดยภาพรวมเราว่ามันก็เป็นหนังดีเรื่องหนึ่งที่ดูได้ทุกคน คือที่แน่ๆ หนังเขาไม่แย่อะ ค่อนไปทางดี ยังไงก็ไม่น่าจะเสียดายเงินหรือเวลา
ยิ่งโดยเฉพาะถ้าเป็นคนที่ชอบหนังฟีลกู้ด ชอบหนังครอบครัวหรือหนังคอเมดี้ ชอบหนังที่มีการร้องเพลงหรือชอบเดอะว๊อยซ์ ชอบหนังที่สร้างแรงบันดาลใจ ชอบภาษาฝรั่งเศสหรือชอบผู้ชายฝรั่งเศส เรายิ่งเชียร์ให้ตีตั๋วไปดูได้เลย
หนังเข้าโรง 4 มิ.ย. 2015 นี้ อย่าลืมไปดูนะ :)
ป.ล. ความชอบส่วนตัว ให้ 7.5/10 (คะแนนที่หายไปคือหักเพราะพล็อตมีช่องโหว่และความเอ๊ะของพระเอกทั้งสิ้น นอกนั้นคือดีงามตามครรลองหมด ไปดู)
คลิปเพลง “Je vole” (I am flying) ของ Michel Sardou ขับร้องโดย Louane Emera
(หมายเหตุ อนุญาตให้ดูคลิปนี้เฉพาะคนที่ดูหนังแล้วเท่านั้น)
45 comments