‘Everyone deserves a great love story’.
รอบฉายในไทยเลื่อนแล้วเลื่อนอีก รอมาแรมเดือน ในที่สุด 24 พ.ค. 2018 นี้ ก็ได้ฤกษ์ที่คนไทยจะได้ดู Love, Simon กันสักที (แต่เบื้องต้นยังมีโรงฉายแค่ที่ Paragon Cineplex และ SF World Cinema เท่านั้น และเข้าฉายสัปดาห์เดียวกับ Solo: A Star Wars Story อีกต่างหาก เรื่องรอบฉายจึงอาจต้องลุ้นกันนิดนึง)
Love, Simon กำกับโดย Greg Berlanti (โปรดิวเซอร์ซีรีส์ดัง Riverdale และ The Flash) โดยหนังดัดแปลงจากหนังสือนิยาย Simon vs. the Homo Sapiens Agenda ของ Becky Albertalli และถือว่าเป็น “the first mainstream gay teen movie” (ก่อนหน้านี้ อาจมี Moonlight กับ Call Me by Your Name ที่กึ่งแมส แต่ก็ยังไม่ได้แมสซะทีเดียว และไม่ใช่หนังวัยรุ่นไฮสคูล)
เรื่องย่อ Love, Simon
Simon Spier ซึ่งเป็นตัวละครศูนย์กลางของเรื่อง (รับบทโดย Nick Robinson จาก Jurassic World) เป็นเด็กชายวัย 16 ปีคนหนึ่ง ที่มีชีวิตเหมือนวัยรุ่นทั่วไป
เขามีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ พ่อแม่ของเขา Jack (Josh Duhamel จาก Transformers) และ Emily (Jennifer Garner จาก Daredevil) ล้วนรูปร่างหน้าตาดีและเป็นอดีตดาวเด่นของโรงเรียน นอกจากนี้ ก็มีน้องสาวอีก 1 คน และหมาน่ารักอีก 1 ตัว
เขามีเพื่อนสนิทที่รักกันมาก ได้แก่ Leah Burke (Katherine Langford จาก 13 Reasons Why), Nick Eisner (Jorge Lendeborg Jr. จาก Spiderman: Homecoming), และ Abby Suso (Alexandra Shipp จาก X-Men: Apocalypse)
แต่เขามีความลับอย่างหนึ่งที่ไม่เคยบอกใคร นั่นก็คือ “เขาเป็นเกย์” และเขาใช้นามปากกาแทนตัวเองว่า Jacques คุยกับเกย์อีกคนหนึ่ง นามปากกาว่า Blue อย่างลับ ๆ ผ่านทางอีเมล โดยที่ต่างฝ่ายก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
Blue อาจจะเป็นเพื่อนนักฟุตบอล Bram (Keiynan Lonsdale จาก Insurgent) หรืออาจจะเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหาร Lyle (Joey Pollari) หรืออาจจะเป็นเพื่อนนักเปียโนจากชมรมละคร Cal (Miles Heizer จาก 13 Reasons Why)
แต่ทีนี้ปัญหาของเขาบังเกิดขึ้นเมื่อเพื่อนร่วมชมรมของเขา Martin Addison (Logan Miller จาก Scouts Guide to the Zombie Apocalypse) มาเจอบทสนทนาทางอีเมลระหว่าง Simon กับ Blue เขาจึงคิดจะแบล็กเมล์ หาก Simon ไม่ช่วยเขาจีบ Abby เพื่อนสาวในกลุ่มของ Simon
รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ Love, Simon
ถึงแม้เราจะเคยดูหนังหรือละครที่มีตัวละครเกย์อยู่ในเรื่องกันมาไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่ตัวละครเกย์เหล่านั้นมักเป็นแค่ตัวประกอบตัวหนึ่งของเรื่อง และไม่ค่อยมีมิติหลาย ๆ ด้านมานำเสนอกับคนดูเท่าไหร่ คนไทยจึงอาจจะยังไม่ค่อยชินกับหนังรักชายรักชายมากนัก
แต่ก่อนอื่น เราอยากบอกว่า หากมีใครมาถามคุณว่า “วันนี้ไปดูหนังเรื่องอะไรนะ / Love, Simon เป็นหนังอะไรนะ” เราไม่อยากให้ตอบว่า “หนังเกย์ / หนังวาย” นะ เพราะจริง ๆ แล้ว Love, Simon ก็เป็นหนังรักเรื่องหนึ่ง เป็นหนังวัยรุ่นเรื่องหนึ่ง ดีไม่ดี นี่อาจจะเป็นหนึ่งในหนังรักวัยรุ่นที่ดีที่สุดตลอดกาลในหัวใจใครหลาย ๆ คนเลยก็ได้
เช่นเดียวกัน เราไม่อยากให้มองว่า ตัวละคร Simon เป็นเกย์ ก็อย่างที่ Simon พูดแหละว่า “I’m just like you,” (ผมก็เป็นเหมือนคุณ) มีครอบครัวและเพื่อนที่เขาแคร์ มีความคิดความรู้สึก มีความรัก และมีความลับ เหมือนทุกคนบนโลก ทุกคนล้วนมีความรักและความลับกันทั้งนั้น แม้แต่บางคน ความรักกับความลับก็ต้องเป็นเรื่องเดียวกัน ไม่ต่างกับเรื่องของ Simon
เพศสภาพของ Simon ต้องเป็นความลับ ไม่ใช่เพราะเขากลัวหรืออายที่ตัวเองไม่ใช่ผู้ชายแท้ ๆ เพราะนั่นคือความจริง เขาตั้งใจไว้แล้วด้วยซ้ำว่าจะเปิดเผยความจริงนี้เมื่อไหร่ อย่างไร และกับใครบ้าง เพียงแต่มันมีคนมาชิงเอาเรื่องของเขาไปบอกคนอื่นแทนเสียก่อน ซึ่งทำให้เขาตั้งตัวไม่ทัน
ตลอดมา เขากลัวว่า เพศสภาพของเขาจะส่งผลไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่งกับคนที่เขารัก (เช่น พ่อของเขาซึ่งเป็นอดีตนักฟุตบอล มาดแมนแฮนด์ซั่ม และชอบพูดกลาย ๆ บ่อย ๆ ว่า วันนึงลูกชายจะต้องมีแฟนสาวสวยเหมือนเขา) หรือไม่ชีวิตของเขาจะไม่เหมือนเดิม คนรอบข้างจะรู้สึกหรือปฏิบัติต่อเขาไม่เหมือนเดิม หากพวกเขารู้ความจริง พูดอีกอย่างคือ ปัญหาเรื่องเป็นเกย์ไม่ได้อยู่ที่ตัวเขา แต่อยู่ที่สังคมรอบข้างมากกว่า
เราทุกคนต่างมีความลับ อาจไม่ใช่เรื่องเดียวกับ Simon แต่เราเชื่อว่าทุกคนต่างมีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวเองหรือ identity ของตนเองที่เคยปกปิดเอาไว้ เพราะกลัวคนรอบข้างจะเปลี่ยนไปเมื่อเขารู้ความจริง ดังนั้น เราจึงเชื่อเช่นกันว่า คนดูทุกเพศทุกวัยจะสามารถอินกับเรื่องราวของ Simon ได้ไม่ยาก
การดูหนัง Love, Simon มันเหมือนนั่งอยู่บนชิงช้าสวรรค์ มีขึ้นสุดและลงสุด มีอารมณ์ที่ครบรส ไม่ว่าจะสุขจะเศร้า จะหัวเราะหรือร้องไห้ สุดท้ายคนดูจะได้ความรู้สึก “อิ่ม” เมื่อดูหนังเรื่องนี้จบลง
หนังถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกเหล่านั้นมายังคนดูได้ไร้ที่ติ ไม่ว่าจะเนื้อเรื่องและภาษาที่ดีอยู่แล้วมาจากต้นฉบับนิยาย ไม่ว่าจะการเล่าเรื่อง การเลือกเพลงประกอบ จนถึงการแสดงของนักแสดงทุกคนที่น่ารักเป็นธรรมชาติ ทุกองค์ประกอบมันลงตัวไปเสียหมด
เมื่อดูจบแล้ว… สิ่งที่เราทำอย่างไม่ลังเลเลยคือ หาซื้อหนังสือนิยายมาอ่าน… เพราะเราไม่ได้แค่รักหนังเรื่องนี้ แต่เราว่า เราตกหลุมรักตัวละครและเรื่องราวของพวกเขา อีกทั้งเชื่อว่า พวกเขาจะช่วยให้เราก้าวข้ามผ่านความกลัวที่จะเป็นตัวของตัวเองได้มากขึ้น
สุดท้าย เรากล้าพูดได้เต็มปากว่า Love, Simon ไม่ใช่แค่หนังรักแห่งปี แต่จะเป็นหนักรักที่เรารักที่สุดเรื่องหนึ่งตลอดไป และอยากบอกทุกคนว่า “หนังมันต้องดู”
รักมาก ดีมากจริง ๆ ชอบพอ ๆ กับ Wonder (9/10)
28 comments
Comments are closed.