ยอมรับว่าตอนแรกๆ ที่ดูทีเซอร์ Mad Max : Fury Road ของปู่ George Miller นี่เรารู้สึกว่า “ไม่เห็นน่าดูเลย” (ย้ำว่า teaser นะ ไม่ใช่ตัว trailer ที่เราแนบมาใต้บล็อก) แต่เราก็มีลางสังหรณ์อยู่ลึกๆ แล้วว่า หนังที่ทีเซอร์หรือเทรลเลอร์ดูเหมือนจะไม่มีอะไรมันมักจะสนุก (ในทางกลับกัน ก็มีหนังหลายเรื่องที่ตัวอย่างโคตรน่าดู แต่หนังกลับไม่ดี เทรลเลอร์สนุกกว่าเยอะ)
แล้วนอกจากนี้ หนังแฟรนไชส์ไตรภาค Mad Max (1979) เนี่ย ก็ถือเป็นหนังในตำนานที่ผู้กำกับฯ George Miller เคยส่งให้พระเอก Mel Gibson โด่งดังเป็นซุปเปอร์สตาร์ในยุคนั้นมาแล้ว ดังนั้นยังไงๆ Mad Max : Fury Road ฉบับ Tom Hardy (จาก Inception, The Dark Knight Rises, Child 44 ฯลฯ) ก็ยังอยู่ในลิสต์หนังที่น่าดูแห่งปี 2015 อยู่
ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้ว Mad Max : Fury Road ก็เป็นหนังที่เทรลเลอร์มีแต่ทะเลทรายยังไง หนังจริงก็มีแต่ทะเลทรายยังงั้น แต่เป็นทะเลทรายที่ “แม่งโคตรมันส์ชิบหาย!!!”
(ขออนุญาตใช้คำหยาบคาย และสะกด “มัน” เป็น “มันส์” เพื่อความได้อารมณ์)
เรื่องย่อ Mad Max : Fury Road
Max Rockatansky (Tom Hardy) ถูกสมุนของ Immortan Joe (Hugh Keays-Byrne หรือ Toecutter อดีตตัวร้ายใน Mad Max ฉบับออริจินัล) จับไปทำเป็นตัวถุงเลือดให้พวก War Boys ที่เจ็บไข้ได้ป่วย โดย Max มีเลือดกรุ๊ป O-Negative ซึ่งให้เลือดได้กับทุกคน
ในขณะเดียวกัน Furiosa (Charlize Theron จาก The Italian Job, Snow White and the Huntsman, Prometheus ฯลฯ) ได้รับภารกิจให้นำพาขบวนรถไปเอาน้ำมันที่ Gas Town โดยเธอมีตำแหน่งเป็นถึงบอสใหญ่ที่ Immortan Joe ไว้วางใจและได้คุมขับรถ War Rig คันโต
แต่ในภารกิจนี้เอง Furiosa แอบลักลอบพาบรรดานางบำเรอสาว หรือ “แม่พันธุ์” ของ Immortan Joe ขึ้นมาใน War Rig เพื่อหนีไปอยู่ที่ “Green Place” โดยแก๊งนางฟ้านี้ นำโดยเมียท้องแก่คนโปรด Angharad (Rosie Huntington-Whiteley นางแบบสาวสวย นางเอก Transformers: Dark of the Moon) และ Toast the Knowing (Zoë Kravitz จาก X-Men: First Class และ Divergent)
ฝ่าย Immortan Joe พอรู้ว่า Furiosa พาขบวนรถออกนอกเส้นทาง และพบว่าบรรดาเมียๆ หายไปทั้งฮาเร็ม จึงสั่งระดมกำลัง War Boys ทั้งหมดที่มีออกไปตามล่าเพื่อเอาแม่พันธุ์ชั้นดีของตนคืนมา นำขบวนทัพโดย Rictus ลูกชายคนโต (Nathan Jones) และ The People Eater (John Howard)
War Boys ป่วยหนักอย่าง Nux (Nicholas Hoult จาก X-Men: First Class, Warm Bodies, Jack the Giant Slayer) ก็อยากได้รับการยอมรับจาก Immortan Joe จึงดันทุรังไปร่วมขับรถในขบวนตามล่า โดยลากเอา Max ถุงเลือดของตนติดไปกับรถด้วย ซึ่งสุดท้าย Max ก็หลุดหนีจาก Nux ไปได้ระหว่างทาง และไปร่วมคันรถกับสาวๆ แก๊งนางฟ้าวิคตอเรีย ช่วยพวกนางต่อสู้และหลบหนีจาก Immortan Joe ผู้ชั่วร้าย
รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ Mad Max : Fury Road
1. Another Dystopian World
เราเป็นคนชอบดูหนังเกี่ยวกับโลกดิสโทเปียอยู่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องที่มีผู้หญิงเป็นตัวขับเคลื่อน โดย Mad Max : Fury Road ก็เนรมิตโลกอนาคตที่แสนโหดร้ายเป็นทะเลทรายอันร้อนระอุ ไม่มีต้นไม้ใบหญ้าสีเขียว ขาดแคลนน้ำและน้ำมัน ประชาชนอดอยากปากแห้ง มีแต่ผู้นำอย่าง Immortan Joe ที่กินอยู่เยี่ยงราชา เห็นแก่ตัว คอร์รัปชั่น กั๊กทุกอย่างเอาไว้ใช้เองคนเดียว และถือตนเป็นผู้คุมกฎเพียงเพราะตนเองได้ครอบครองทรัพยากรที่คนอื่นไม่มี
“Do not become addicted to water; it will take hold of you and you will resent its absence.”
โลกที่ไม่มีปัจจัยทั้งอาหาร น้ำ หรือแม้กระทั่งแก๊สน้ำมัน เป็นประเด็นที่น่าสนใจ และเป็นโลกที่มีแนวโน้มว่าในอนาคตเราอาจจะมีวันมหาวิปโยคแบบนี้สักวัน ซึ่งเราว่าคุณปู่ George Miller ถ่ายทอดตรงจุดนี้ได้ดีมาก ไม่ว่าจะเป็นด้าน Visual หรือภาพความแห้งแล้งทางภูมิศาสตร์ หรือในด้าน Behavioural ของมนุษย์ ที่ต้องต่อสู้แย่งชิงเพื่อความอยู่รอด หนังทำให้เราเห็นว่าคนเราจะสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งสำคัญ
2. Feminist
หลังจากห่างหายไปนานกว่า 30 ปี Mad Max กลับมาในยุค 2015 แบบนี้ ถ้าไม่ใส่บทบาทพลังหญิงหรือประเด็นเรื่องเพศลงไปด้วย ก็เห็นทีจะไม่สมบูรณ์แบบ โดยในภาคนี้ ผู้กำกับฯ George Miller ก็ดึง Charlize Theron มารับบท Furiosa บอสใหญ่ผู้ได้ขับรถใหญ่ และพาบรรดานางบำเรอหลบหนี โดยทิ้งข้อความไว้ว่า “We are not things!” (ผู้หญิงอย่างเราไม่ใช่สิ่งของ!)
Furiosa คือเด่น เท่ และเก่งมาก (แถมสวยด้วย) เราว่าดีไม่ดีเด่นกว่าพระเอกตัวจริงอย่าง Max หรือ Tom Hardy ซะอีก ไม่ใช่แค่ในเรื่องของหน้าที่ บทบาท หรือความสามารถ แต่คาแรกเตอร์ของนางดูมีมิติกว่า Max เรียกได้ว่าเป็นฮีโร่ตัวจริงของเรื่อง (แต่ Max ก็เป็นฮีโร่ตัวจริงของเธออีกทีนึงนะ เราชอบซีนนึงระหว่างสองคนนี้ตอนเกือบจะจบเรื่องมากๆ)
บรรดาเมียๆ ของ Immortan Joe เอาเข้าจริงก็ไม่ใช่ว่าจะสวยเซ็กซี่อย่างเดียว แต่ยังฮึดสู้เพื่อสิทธิความเท่าเทียมและเสรีภาพของตนเองอย่างไม่กลัวเจ็บกลัวตาย แถมยังช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่างเป็นพรรคเป็นทีม
อย่าง Rosie Huntington-Whiteley นี่เรื่องนี้คือดีงามมาก ประทับใจสุด ตรงกันข้ามกับตอนที่นางเป็นนางเอก Transformers เรื่องนั้นคือง่อยมาก ดีแต่ใส่ส้นสูงกรีดกรายสวยๆ และเอาปากเจ่อๆ เซ็กซี่ๆ งี่เง่าใส่พระเอกทั้งเรื่อง
แล้วหนังก็ไม่ได้ให้ความสำคัญแค่กับสาวๆ สวยๆ เท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับคนแก่คนชราในเรื่อง ซึ่งแต่ละซีนของพวกเธอก็สร้างความประทับใจให้กับคนดูได้ไม่น้อยไปกว่าฉากที่คนหนุ่มคนสาวต่อสู้กันเสียอีก
เห็นมั้ยว่า หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีแต่ประเด็นเรื่องทรัพยากรหรือสิ่งแวดล้อม แต่ยังให้ความสำคัญกับพลังหญิงหรือประเด็นทางเพศด้วย
READ MORE: Female Roles Rule Hollywood Movies & 10 Most Influential Women in Dystopian World by @kwanmanie
3. Life Goals
ถ้าพูดถึงแต่ผู้หญิงเป็นพารากราฟๆ โดยไม่พูดถึงฝั่งตัวละครนำฝ่ายชายเลยก็ดูกระไรอยู่ เพราะอย่างน้อย Max ก็เป็นเจ้าของเรื่องหรือ narrator ของเรื่อง แสดงให้เห็นว่า ถ้าทุกเพศต่างผนึกกำลังกัน ใช้ความสามารถเฉพาะที่มีในการช่วยเหลือเกื้อกัน มันย่อมดีกว่าทำอะไรอยู่ฝ่ายเดียว และถ้าไม่มีคนหนุ่มนิสัยดีไว้ใจได้อย่างหนุ่ม Max กับ Nux เข้ามาช่วย สาวๆ ก็คงจะเหนื่อยหนักกว่านี้หลายเท่า หรืออาจจะต้องกลับไปเป็น “สิ่งของ” ของผู้ชายชั่วๆ นั้นอีกก็ได้
จริงๆ ก็ไม่อยากจะนิยาม แต่เอาเท่าที่เราเห็นจริงๆ เราคิดว่า ธรรมชาติของผู้ชายเขาจะเป็นเพศที่ชอบตั้งเป้าหมายในชีวิต (ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี) ในเรื่อง Mad Max : Fury Road เราจะเห็นว่า Max กับ Nux (Tom Hardy และ Nicholas Hoult ตามลำดับ) เป็นตัวละครที่ดูมีเป้าหมายในชีวิตของตัวเองอย่างชัดเจน (จริงๆ จะรวม Immortan Joe ด้วยก็ได้ เพราะก็ดูมีเป้าในการทำพันธุ์กับผู้หญิงที่เขาไม่รักตนอย่างแน่วแน่ดี)
อย่าง Max ก็ดูดำเนินชีวิตเอาตัวรอดในโลกอันโหดร้ายนี้อยู่คนเดียวด้วยจุดประสงค์อะไรสักอย่างของเขา แต่เราชอบเป้าหมายในการพยายามตัดตะกร้อครอบปากของ Max มาก มันไม่ใช่แค่ตลกในความพยายาม แต่ยังทำให้เรานึกถึง Tom Hardy ตอนเล่นเป็น Ben ใน The Dark Knight Rises ด้วย (ไม่รู้ผู้กำกับฯ ตั้งใจให้มันเป็นยังงั้นรึเปล่าแฮะ)
ส่วน Nux ซึ่งเกิดมาเป็น War Boys ทั้งชีวิตเขาถูก inception หรือปลูกฝังให้พลีชีพเพื่อ Immortan Joe และถือว่าการสละชีพเพื่อส่วนรวมคือการไปสู่ Valhalla และจะได้ reborn กลับมาอีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่กว่าเดิม เพราะฉะนั้นทุกสิ่งที่เขาทำ ก็ทำเพื่อจุดหมายนั้นทั้งสิ้น
ถึงแม้ Nicholas Hoult จะได้รับบทที่ไม่ใช่คน 100% อยู่บ่อยๆ เช่น บท Beast ตัวสีฟ้าๆ ใน X-Men หรือบทซอมบี้ใน Warm Bodies แต่บทพวกนี้ก็ส่งให้เขาเกิดมาได้ทุกครั้ง และเราเชื่อว่า บทตัวประหลาดร่างขาวอย่าง Nux นี้ ก็จะส่งให้หนุ่ม Nicholas Hoult ได้เกิดอีกครั้ง เพราะมีหลายฉากที่น่าจดจำและน่าประทับใจมากของตัวละครตัวนี้
เราว่า Nux เป็นตัวละครที่น่าสนใจ มีมิติ และมีพัฒนาการ หลายคนดูแล้วก็หลงรักเขาได้ไม่ยาก (ขนาดทาหน้าทาตัวขาวว่อก นางก็ยังหล่อทะลุแป้ง ชอบมาก)
4. Fury Road
ถึงแม้อายุอานามของ George Miller จะไม่ใช่น้อย และก็ห่างหายจากการกำกับฯ ไปนาน แต่ต้องยกนิ้วให้จริงๆ ว่า เขาสามารถกำกับหนังบู๊ได้มัน สนุก และเจ๋งกว่าผู้กำกับฯ วัยหนุ่มไฟแรงหลายต่อหลายคน ไม่ว่าจะเป็นทั้งภาพ เสียง หรือคิวบู๊ต่างๆ
แล้วแต่ละความบู๊มันก็จะมีไฮไลท์ของมันในแต่ละช่วง คือไม่ได้สักแต่ใช้พร่ำเพรื่อฟุ่มเฟือย หรือใช้เล่นซ้ำแล้วซ้ำอีก เช่น กายกรรมเปียงยางบินไปบินมาระหว่างคันรถ หรือกีต้าร์พังค์ร็อคพ่นไฟได้ ซึ่งข้อดีตรงนี้ มันทำให้ตลอด 120 นาที คนดูจะได้ลุ้นตลอดเรื่อง มีเซอร์ไพรส์ตลอดเรื่อง ไม่น่าเบื่อเลย ชวนติดตามทุกช็อต
ความยาว 120 นาทีนั้น หนังเล่นบู๊ไปแล้ว 115 นาที ชนิดที่แบบแทบไม่ให้คนดูได้พักหายใจ และฉากบู๊ 99% เป็นการบู๊บนรถ หรือการซิ่งรถ ซึ่งเราขออวยโคตรๆ เลยว่า ซีนรถพวกนี้ Mad Max : Fury Road ทำได้ดีมากกกกกกกกกกส์ มัน to the max เลย
ถ้าพูดตรงๆ ก็คือรถใน Fast And Furious ดูกระจอกงอกง่อยไปเลยจ้า หรือโลเคชั่นรถวิ่งทะเลทรายนี่ จริงๆ เราก็เคยดูใน Transformers สักภาคนะ แต่ทะเลทรายที่ George Miller ทำนี่เจ๋งกว่าของ Michael Bay ร้อยเท่า พูดเลย
ตอนนี้ยังไม่เจอฟีดแบ็คหรือกระแสรีวิวที่ด่าหรือไม่ชอบหนังเรื่องนี้จริงจังเท่าไหร่นะ โดยสรุป ภาพรวมเราให้คะแนน Mad Max : Fury Road ที่ 9.5 เต็ม 10 ค่ะ หัก 0.5 คะแนน ตรงที่เนื้อเรื่องไม่มีอะไรเลย แค่นั้นแหละค่ะ ที่เหลือคือหนังดีงามหมด สนุกเหี้ยๆ คุ้มมาก ยังไงก็คุ้ม เรายกให้เป็น “TOP 10 หนังที่สนุกที่สุดในรอบหลายปี”
สนุกกว่า Avengers กับ Fast 7 รวมกันซะอีกนะจะบอกให้
ป.ล. ไม่เคยดู ของเก่าฉบับไตรภาคมาก่อนก็ดูได้ เพราะแต่ละภาคมันจบในตอน ไม่ต่อเนื่องกัน ตัวละครใหม่หมด (ยกเว้นพระเอก ที่ยังเป็น Max แต่เปลี่ยนคนเล่น เพราะ Mel Gibson is too old to be Max,)
120 comments