💡 Manifesting คือความสามารถในการสร้างชีวิตที่สมปรารถนา สามารถดึงดูดสิ่งที่เราปรารถนาเข้ามาในชีวิต และทำให้เรากลายเป็นผู้เขียนเรื่องราวของตนเอง 📌 พิกัดหนังสือ https://shope.ee/5pjhzKFMww
- Manifesting คือการหลอมรวมวิทยาศาสตร์ (เช่น กฎแห่งแรงดึงดูด) และภูมิปัญญา
- Manifesting คือปรัชญาการใช้ชีวิตและแนวทางปฏิบัติในการพัฒนาตนเองที่ช่วยให้เราใช้ชีวิตอย่างดีที่สุด
- ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจาก manifesting ไม่ใช่การช่วยให้เราดึงดูดสิ่งต่าง ๆ มาครอบครอง แต่คือการช่วยให้เราปลดปล่อยตัวตนที่แท้จริง เปี่ยมพลังที่สุด รักตัวเองที่สุด และยอดเยี่ยมที่สุด เป็นการเสริมพลังให้เราใช้ชีวิตที่ดีที่สุดมากกว่า
- ความสุขที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากการครอบครองวัตถุสิ่งของ แต่เกิดจากความสัมพันธ์รอบตัว จากการมีจุดหมายของตัวเองและการได้ใช้ชีวิตในแบบที่ “สะท้อนตัวตนแท้จริงที่สุด” ของเรา
7 Steps to Living Your Best Life
ทั้ง 7 ขั้นตอนนี้ ไม่ควรทำทีละอย่าง แต่ควรทำไปพร้อม ๆ กัน
- Be clear in your vision.
- Remove fear and doubt.
- Align your behaviour.
- Overcome tests from the universe.
- Embrace gratitude without caveats.
- Turn envy into inspiration.
- Trust in the universe.
- มองภาพให้ชัดเจน+มีรายละเอียด
- นั่งสมาธิ >> จินตนาการอนาคต >> ผ่อนคลาย >> เติมเต็มรายละเอียดให้ชัดเจน และดำดิ่งในอารมณ์ความรู้สึกที่ได้ถือครอบครองสิ่งเหล่านั้น = 10-15 นาที/ครั้ง และ 2-3 ครั้ง/สัปดาห์
- ตัวตนในอนาคตจะ “รู้สึก” อย่างไร ตัวเองอยาก “รู้สึก” อย่างไร
- คำถามสำคัญที่สุด: คนที่เราอยากจะเป็นคือใคร
- สร้าง vision board ซึ่งจะเอื้อให้เราเห็นภาพรวมที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
- อย่าลืมใส่ความรู้สึกของตัวตนในอนาคตลงไป
- ต้องมีกำหนดกรอบเวลา เช่น 6 เดือน, 1 ปี, 5 ปี
- อาจจะแยก vision board ออกเป็นส่วน ๆ เช่น การพัฒนาส่วนตัว, ความรักความสัมพันธ์, หน้าที่การงาน, เพื่อนและครอบครัว, บ้านที่อยู่, งานอดิเรกหรือสิ่งบันเทิง และใส่ประมาณ 3 อย่างในแต่ละส่วน
- เพื่อที่จะทำความเข้าใจตัวตนที่เราปรารถนาจะเป็นอย่างแท้จริง และเริ่มเดินทางไปสู่ตัวตนที่ทรงพลังที่สุดของเรา เราต้องปล่อยวางตัวตนที่เราเคยเป็นและตัวตนที่เราคิดว่าควรจะเป็นก่อน
- ทุกวัน เราลุกขึ้นมาเป็นคนใหม่
- นั่งสมาธิ >> จินตนาการอนาคต >> ผ่อนคลาย >> เติมเต็มรายละเอียดให้ชัดเจน และดำดิ่งในอารมณ์ความรู้สึกที่ได้ถือครอบครองสิ่งเหล่านั้น = 10-15 นาที/ครั้ง และ 2-3 ครั้ง/สัปดาห์
- ขจัดความกลัวและความกังขา
- Manifest จะเกิดขึ้นได้เฉพาะกับสิ่งที่เราเชื่ออย่างแท้จริงว่าเรามีค่าคู่ควรที่จะได้รับสิ่งนั้น
- จิตใต้สำนึกมีสิ่งปิดกั้น Manifest สองประการ: ความกลัว และความกังขา ซึ่งมักจะมาในรูปของความหวังดีว่า มันกำลังปกป้องเราจากความล้มเหลวหรือผิดหวัง ทั้งที่จริง มันกำลังฉุดรั้งและกีดกันเราจากการ manifest สิ่งที่ต้องการด้วย
- การตระหนักรู้ความกลัวและความกังขา
- นอกจากการทำ vision board จะช่วยเรานึกภาพสิ่งที่เราต้องการแล้ว ยังช่วยให้เราเข้าใจความกลัวและความกังขาในตัวเองชัดเจนขึ้นด้วย
- มีความกลัวและความกังขาอะไรบ้างที่ผุดขึ้นมาเวลาเรานึกภาพตัวเองได้ครอบครองสิ่งนั้นจริง ๆ และหาวิธีขจัดมัน
- ยิ่งเราตระหนักรู้ความกลัวและความกังขามากเท่าไร มันจะยิ่งมีอำนาจสั่งการเราน้อยลง
- การตระหนักรู้คือจุดเริ่มต้นของการพัฒนาตัวเองเสมอ
- การขจัดรู้ความกลัวและความกังขา
- จัดการความคิด (คิดบวก): จัดการความคิดของเราได้ >> เปลี่ยนภาวะอารมณ์ของตัวเองได้ >> เปลี่ยนคลื่นความถี่ในการสั่นสะเทือนของตัวเองได้ >> เปลี่ยนความเป็นจริงของเราได้
- การแทนที่ความคิด: แทนที่จะนึกภาพ worst case scenario >> ให้นึกภาพ best case scenario แทน
- การกำหนดกรอบมุมมองใหม่: อย่าตีความสถานการณ์จากมุมมองของความกลัวและความกังขา
- ระวังภาษาที่ใช้
- ถ้า >> เมื่อ เพื่อสะท้อนถึงความแน่ใจ
- พูดถึงสิ่งที่เราต้องการ > สิ่งที่เรากลัวว่าจะเกิด หรือกลัวว่าจะไม่เกิด
- ปรับเปลี่ยนคำพูดอย่างมีสติ
- ยอมรับคำชม
- ท่องมนตร์สะกด
- ท่องมนตร์สะกด 2-3 ประโยคกับตัวเอง
- เขียนมนตร์สะกดไว้ในจุดที่มองเห็นได้ทุกวัน
- ฟัง positive affirmations หรือ affirmation tracks วนไป
- จิตใต้สำนึกไวต่อสารเชิงบวกมากที่สุด ณ ตอนที่เราหลับ เพิ่งตื่น และตอนที่จิตเป็นสมาธิ
- ฝึกการนึกภาพ
- จินตนาการฉากใหม่ในสมอง เลือกนึกภาพผลลัพธ์ที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้แทน และนึกภาพให้ชัดเจนว่าเราจะรู้สึกอย่างไรในวินาทีนั้น จินตนาการผลลัพธ์ในอุดมคติซ้ำไปซ้ำมาในสมอง
- บ่มเพาะและฝึกฝนการรักตนเอง***
- การรักตนเองคือรากฐานของทุกขั้นตอน มันคือการเปิดพื้นที่เพื่อรับสิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิต และนำไปสู่การตระหนักรู้ถึงทางเลือกต่าง ๆ และการตัดสินใจต่าง ๆ ที่เลือกทำในแต่ละช่วงเวลา
- สิ่งที่ต้องทำเพื่อไปสู่การบ่มเพาะความรักตนเอง
- มีสติตระหนักรู้ถึงทางเลือกต่าง ๆ และหาที่ดีที่สุด
- เคารพความรู้สึกตัวเอง
- ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด ทำให้ดีที่สุด แล้วเราจะหลีกเลี่ยงการตัดสินตัวเอง การทำร้ายตัวเอง และความเสียใจได้
- ถามตัวเองให้เป็นนิสัยว่า วันนี้รู้สึกอย่างไรและต้องการอะไร ให้ตัวเองเป็นมนุษย์ ตระหนักรู้ว่า เรารู้สึกแตกต่างกันไปในแต่ละวัน และมอบสิ่งที่เราต้องการให้ตัวเอง
- เคารพจุดหมายในวันพรุ่งนี้
- ชีวิตของเราเป็นผลรวมของทางเลือกต่าง ๆ ที่เราตัดสินใจลงไป ทุกสิ่งที่เราทำย่อมกำหนดตัวตนในปัจจุบันและอนาคตของเรา
- การรักตัวเองจะควบคุมแรงขับที่จะทำเพื่อความพอใจชั่ววูบและตัดสินใจเลือกทางที่จะเอื้อต่อตัวตนในอนาคตของเราแทน
- การฝึกรักตัวเองที่ดีที่สุดคือ การสร้างสมดุลระหว่างสิ่งที่เราต้องการวันนี้กับสิ่งที่เราต้องการในอนาคต
- การให้อภัยและการไม่ตัดสิน
- เพื่อเปิดเส้นทางสู่อนาคตที่งดงามที่สุด เราต้องปล่อยวางอดีตบางส่วนที่ทำให้เรามีภาวะอารมณ์ low vibes จากความรู้สึกผิด ความละอายใจ หรือความโกรธ แล้วมอบการให้อภัยและการไม่ตัดสินให้ตัวเองแทน โดยเราต้องยอมรับให้ได้ก่อนว่า
- เราทำดีที่สุด ณ เวลานั้นแล้ว
- เราได้บทเรียนอันมีค่าเสมอจากทุกประสบการณ์
- เราไม่ใช่คนเดิมคนเดียวกับตัวเรา ณ เวลานั้นแล้ว เราเติบโตและเป็นผู้ใหญ่ขึ้นจากเรื่องราวนั้นแล้ว
- การเรียนรู้จากข้อผิดพลาดและประสบการณ์ของตัวเอง แล้วพัฒนาจากสิ่งเหล่านั้น เราได้ฝึกรูปแบบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการรักตนเอง นั่นคือการเติบโต
- เพื่อเปิดเส้นทางสู่อนาคตที่งดงามที่สุด เราต้องปล่อยวางอดีตบางส่วนที่ทำให้เรามีภาวะอารมณ์ low vibes จากความรู้สึกผิด ความละอายใจ หรือความโกรธ แล้วมอบการให้อภัยและการไม่ตัดสินให้ตัวเองแทน โดยเราต้องยอมรับให้ได้ก่อนว่า
- จัดการความคิด (คิดบวก): จัดการความคิดของเราได้ >> เปลี่ยนภาวะอารมณ์ของตัวเองได้ >> เปลี่ยนคลื่นความถี่ในการสั่นสะเทือนของตัวเองได้ >> เปลี่ยนความเป็นจริงของเราได้
- ปรับพฤติกรรม
- การทำตัวเชิงรุก แสดงให้จักรวาลได้เห็นสิ่งที่เราเชื่อว่าสมควรได้รับด้วยการลงมือปฏิบัติ โอบรับตัวตนที่เราปรารถนาจะเป็น ออกจากความเชื่อที่บั่นทอนหรือความกลัว ออกจากพื้นที่ปลอดภัย ใช้ชีวิตอย่างจริงแท้ และบ่มเพาะความรักตนเองผ่านแนวปฏิบัติประจำวัน สร้าง habits ที่ดี และมุ่นมั่นทำเพื่อสุขภาวะของตนเอง
- ปรับพฤติกรรมให้สอดคล้องกับแนวทางที่เราปรารถนาจะช่วยให้เราเข้าใกล้การเป็นเช่นนั้นมากขึ้น
- เมื่อเราคิดถึงคนที่เราปรารถนาจะเป็น ให้คิดถึงวิธีการต่าง ๆ ที่เราสามารถปรับพฤติกรรมของตนเองให้สอดคล้องกับตัวตนในอนาคตนั้นได้ตั้งแต่ตอนนี้
- ทำควบคู่ไปกับการขจัดความกลัวและความกังขาได้
- รับรู้ถึงความกลัวแต่ก็ลงมือทำอยู่ดี
- แกล้งทำไปจนเรากลายเป็นสิ่งนั้น
- อดทนกับความอึดอัดคับข้องจนกระทั่งสร้างความคุ้นเคยใหม่ได้สำเร็จ
- มุ่งมั่นอย่างมีสติ
- ปฏิเสธแรงกระตุ้นที่จะขัดขวางความสำเร็จ
- ต้องเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตในพื้นที่ใหม่ที่เปี่ยมพลังไปจนกว่าจะรู้สึกสบายใจเต็มที่
- เดินออกจาก comfort zones
- เราต้องทำสิ่งที่ต่างไปจากเดิม ท้าทายความกลัวและความกังขา และทำตัวแบบที่ตัวตนในอนาคตของเราจะทำ
- เวทมนตร์จะปรากฏนอก comfort zones
- เมื่อเกิดความคิดต่าง ๆ ขึ้น รวมถึงแรงบันดาลใจหรือความคิดสร้างสรรค์ อย่าปล่อยปละละเลย ให้เราตัดสินใจด้วยความรักตัวเองที่จะลงมือทำและเดินออกจาก comfort zones
- วิธีก้าวออกจาก comfort zones
- ชัดเจนถึงเหตุผลว่าทำไมถึงอยากทำแบบนั้น
- ขจัดคำแก้ตัว (ความกลัวและความกังขา) โดยตั้งคำถามในทุกแง่มุม
- อย่ายอมแพ้เมื่อเจอสิ่งท้าทาย
- เป็นเรื่องปกติ เพราะสิ่งใดใดนอก comfort zones จะใหม่
- สิ่งท้าทายมอบโอกาสให้เรายืนหยัดฝ่าฟันเพื่อตัวเราเอง เพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ สร้างความแข็งแกร่ง ความรู้ และความยืดหยุ่น ผลักดันไปในทิศทางใหม่และให้มุมมองใหม่ ๆ
- 5-Second Rule: ถ้าเรามีแรงกระตุ้นที่จะลงมือทำตามเป้าหมาย เราต้องลงมือภายใน 5 วินาที ก่อนที่ความลังเลในสมองจะทำลายความคิดนั้นไป
- สร้างนิสัยที่ดี (good habits)
- ตั้งใจผนวกแนวปฏิบัติที่มีภาวะ high vibes ไว้ในกิจวัตรประจำวัน
- เพิ่มแนวปฏิบัติเพื่อการรักตัวเองง่าย ๆ 3-4 อย่างเข้าไปในกิจวัตรประจำวัน (เวลาที่เหลือในแต่ละวันอาจน้อยลงกว่าคนอื่น แต่เวลาที่เหลืออยู่ในอีกทั้งชีวิตจะแตกต่างจากคนอื่น)
- เราจะไม่มีวันเปลี่ยนชีวิตได้จนกว่าเราจะเปลี่ยน habits เพราะความสำเร็จซ่อนอยู่ในกิจวัตรประจำวัน
- สัญญากับตัวเองว่าจะทำ habits ใหม่ทุกวัน เป็นเวลา 66 วัน (จำนวนวันที่สร้างนิสัยใหม่) เช่น ฉันจะตื่น …… ทุกวัน, ฉันจะเขียน journal ก่อนนอน ฯลฯ
- ความจริงแท้
- ใช้ชีวิตด้วยความสัตย์จริง ปรับสิ่งที่เราทำให้ตรงกับสิ่งที่เราคิดและตัวตนที่เราปรารถนาจะเป็นอย่างแท้จริง
- เมื่อเราตัดสินใจเลิกเสแสร้งเป็นคนที่ไม่ใช่ และโอบรับตัวตนที่แท้จริงที่สุดของตัวเอง เราจะก้าวหน้า
- เมื่อเราปล่อยวางตัวตนที่เราคิดว่าเราควรจะเป็น ตัวตนที่คนอื่นคาดหวังให้เราเป็น หรือตัวตนที่เราเคยเป็น แล้วเราจะเปิดพื้นที่เพื่อหล่อเลี้ยงสิ่งต่าง ๆ ที่สนับสนุนตัวตนที่จริงแท้ที่สุดของตนเอง และค้นพบตัวตนปัจจุบันที่เราเป็นอย่างแท้จริง
- ทุกครั้งที่ลงมือทำอะไร ให้ถามตัวเองว่า นี่สอดคล้องกับสิ่งที่เราคิด สิ่งที่เขาเชื่อ และสิ่งที่เราปรารถนาจะเป็นหรือไม่
- เอาชนะบททดสอบของจักรวาล
- การปิดประตูสู่อดีตอย่างเป็นทางการ ช่วยเปิดพื้นที่รับสิ่งที่คู่ควรเข้ามาสู่ชีวิต
- เมื่อไรก็ตามที่เราเห็นโอกาสไปจากสิ่งที่ไม่เหมาะกับเราอีกต่อไป ให้คว้าโอกาสนั้นไว้ วางสิ่งที่ไม่เหมาะกับเราลง โดยรู้ว่าเรามีค่าควรและสมควรได้รับสิ่งที่เหมาะสมกับเราจริง ๆ
- การยอมรับสิ่งที่ด้อยกว่าสิ่งที่เราควรได้รับเกิดจากความกลัวและความกังขา
- บททดสอบที่เราต้องระมัดระวังจริง ๆ คือบททดสอบที่ดูละม้ายคล้ายสิ่งที่เราตั้งตารอ แต่พอสังเกตให้ถี่ถ้วน เราจะตระหนักว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง
- เราเลือกได้ว่าจะใช้หลักคิดเรื่องความขาดแคลน (สิ่งที่มีอยู่ไม่เพียงพอ) หรือ หลักคิดเรื่องความอุดมสมบูรณ์ (มีโอกาสมากมายเหลือพอสำหรับทุกคน) โดยแก่นหลักของกระบวนการ manifest คือการยึดหลักคิดเรื่องความอุดมสมบูรณ์
- สิ่งที่ไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังคือโอกาสให้เราฝ่าฟันอุปสรรค และสร้างความเข้มแข็ง ความยืดหยุ่น และความกล้าหาญ
- บางครั้ง เวลาที่สิ่งต่าง ๆ แหลกสลาย อันที่จริง มันกำลังขยับเข้าที่เข้าทางต่างหาก
- เมื่อเราใช้ประโยชน์จากความทุกข์ยากอย่างดีที่สุด มันจะกลายเป็นรากฐานสำคัญสู่โอกาสอันยอดเยี่ยม
- เมื่อเราชนะบททดสอบของจักรวาลได้ เราจะได้รับโอกาสใหม่เป็นรางวัล
- ยอมรับบททดสอบ กำหนดกรอบความคิดใหม่ และรักษาภาวะอารมณ์ไฮไวบ์เอาไว้ด้วยการฟังเสียงยืนยันเชิงบวกก่อนนอนทุกคืน
- พลังของการเลือกคือหนึ่งในเครื่องมือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการ manifest
- บางครั้งเราชนะ บางครั้งเราได้บทเรียน — ทุกสิ่งมีศักยภาพที่จะสอนบทเรียนอันมีค่าให้เรา แทนที่จะมองว่าอะไรต่าง ๆ ผิดพลาดหรือถูกต้อง เรามองได้ว่าทุกอย่างคือโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต
- โอบรับความสำนึกรู้คุณ (โดยปราศจากเงื่อนไข)
- ในวันที่เรารู้สึก low vibes เราสามารถหันไปหาความรู้สึกรู้คุณเพื่อช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้ โอบรับความสำนึกรู้คุณโดยปราศจากเงื่อนไขสำหรับทุกสิ่งที่เรามีในปัจจุบัน ยอมให้ความรู้สึกซาบซึ้งใจนั้นเปลี่ยนภาวะการดำรงอยู่ของเรา รับรู้ความรู้สึกยามที่ความสำนึกรู้คุณยกระดับ vibes ของเราให้สูงขึ้น
- เรามีอะไรบางอย่างให้รู้สึกซาบซึ้งใจได้เสมอ ถ้าวันนี้เราไม่ซาบซึ้งในชีวิตของตัวเอง ให้จดจ่อกับสิ่งที่เป็นสากล
- ความสำนึกรู้คุณ มี 3 หมวด
- ความสำนึกรู้คุณตัวเอง
- ความสำนึกรู้คุณชีวิต (เช่น งาน ครอบครัว เพื่อน ที่อยู่ ฯลฯ)
- ความสำนึกรู้คุณโลก (ใดใดที่เป็นสากล เช่น แสงอาทิตย์ วัฒนธรรม ฯลฯ)
- คนเรามักผูกความรู้สึกรู้คุณไว้กับเงื่อนไข (เช่น ฉันชอบงานของฉัน แต่จะดีกว่านี้ถ้า….) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหลายคนมีความกลัวในจิตใต้สำนึกว่าถ้าเรามีความสุขเต็มที่กับสิ่งที่มีอยู่ เราจะไม่ดิ้นรนขวนขวายหาอะไรเพิ่มเติมอีก ซึ่งเงื่อนไขมักกีดกันไม่ให้เรารู้สึกถึงและสัมผัสถึงความสำนึกรู้คุณได้อย่างแท้จริง
- จุดบาลานซ์คือ เราต้องกระจ่างชัดเจนในภาพความคิดและสิ่งที่เราต้องการไปให้ถึง ขณะเดียวกันก็ต้องมีความสำนึกรู้คุณอย่างที่สุดกับสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน
- How to บ่มเพาะและโอบรับความสำนึกรู้คุณ (โดยปราศจากเงื่อนไข)
- ทุกคืนหรือทุกเช้า เขียนสิ่งที่เราซาบซึ้งใจ 3 หมวด หมวดละ 5 เรื่อง
- บันทึกความประทับใจเชิงบวก เขียนสิ่งดีทุกอย่างที่ประสบพบเจอในวันนั้น ๆ
- เราอาจสรุปว่าวันนั้นแย่เพียงเพราะมีช่วงเวลาไม่ดีหนึ่งช่วงอยู่ในนั้น แต่ถ้าทบทวนสิ่งดี ๆ ทั้งหมดที่พบเจอ เราจะเห็นว่า ทุกวันเต็มไปด้วยหลายสิ่งที่เรารู้สึกประทับใจ
- พบจดบันทึกความประทับใจเชิงบวกจนเป็นนิสัย สมองเราจะเริ่มมองหาโอกาสและช่วงเวลางดงามในแต่ละวันโดยอัตโนมัติ เราจะเริ่มสังเกตสิ่งดีงามรอบตัวมากขึ้น และยกระดับ vibes ให้สูงขึ้นตลอด
- ทุกครั้งที่หงุดหงิดรำคาญใจ แค่ไล่เรียงสิ่งดีงามทั้งหมด
- เปลี่ยนจาก ฉันจำเป็นต้องทำสิ่งนี้ เป็น ฉันสามารถทำสิ่งนี้
- ฝึกสติอยู่กับปัจจุบัน — การนั่งสมาธิช่วยให้จิตใจทำงานช้าลง เปิดพื้นที่ให้ความคิดสร้างสรรค์และแนวคิดต่าง ๆ เข้ามา และเอื้อให้เพิ่มขีดความสามารถในการสำนึกรู้คุณ ด้วยการหนุนให้ใช้ชีวิตอย่างมีสติได้ดีขึ้น
- สังเกตสิ่งเล็ก ๆ ในชีวิตทั้งหลายทั้งปวง — ลองเขียนสิ่งรื่นรมย์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราชอบ 10 อย่าง
- เปลี่ยนความริษยาเป็นแรงบันดาลใจ
- ความริษยาไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย มันเป็นแค่ภาวะอารมณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเราเผชิญสิ่งที่ทำให้เราตั้งคำถามกับการเห็นคุณค่าในตนเอง
- บ่อยครั้ง ความริษยาเป็นตัวแทนความกลัว กลัวว่าเราอาจจะสูญเสียอะไรบางอย่างที่เรารักและทุ่มเทกายใจและพลังให้ เรากลัวว่าถ้าคนอื่นได้อะไรบางอย่าง เราจะสูญเสียสิ่งที่เรามี (หลักคิดเรื่องความขาดแคลน) ดังนั้น วิธีปล่อยวางความริษยาคือการขจัดความกลัวและความกังขาอย่างต่อเนื่อง
- การปฏิเสธหรือกลบฝังความริษยาไม่ส่งผลดี เพราะเราจะกักเก็บภาวะอารมณ์ low vibe ไว้กับตัว และมันจะหล่อเลี้ยงความไม่มั่นใจและการเห็นคุณค่าในตัวเอง
- แรงบันดาลใจ (ความอุดมสมบูรณ์ ไฮไวบ์) เป็นขั้วตรงข้ามของความริษยา (ความขาดแคลน โลว์ไวบ์)
- การเปลี่ยนความริษยาเป็นแรงบันดาลใจคือการเลือกความคิดเชิงบวกที่สร้างแรงบันดาลใจขึ้นมาสักเรื่อง เช่น เราสามารถใช้ความสำเร็จของพวกเขาเป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเอง เวลาที่เราได้แรงบันดาลใจจากความสำเร็จและประสบการณ์ของคนอื่น ๆ เราแสดงให้จักรวาลเห็นว่า เราเชื่อว่าโลกมีความรัก ความสุข และความสำเร็จสำหรับทุกคนมากล้น
- มองหาคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้เรา เพื่อให้จิตสำนึกและจิตใต้สำนึกพิสูจน์ว่า สิ่งที่เราต้องการนั้นสามารถ manifest ให้เป็นจริงได้ ใช้มาขจัดความกังขา และช่วยในการนึกภาพให้มีรายละเอียดสมจริงยิ่งขึ้น
- 4 ขั้นตอนที่เราต้องทำเพื่อเปลี่ยนความริษยาเป็นแรงบันดาลใจ
- ตระหนักรู้ความริษยา
- ขจัดความละอายใจ รักตัวเอง เห็นอกเห็นใจ เมตตา และไม่ตัดสินตัวเอง
- เรียนรู้จากมัน ถามตัวเองว่า การตัดสินผู้อื่นนี้ขับเคลื่อนจากสิ่งใด ความกลัวหรือความกังขาใดขับเคลื่อนสิ่งนี้ พวกเขามีสิ่งใดที่ฉันปรารถนาหรือ
- กำหนดกรอบมุมมองใหม่ เปลี่ยนความริษยาเป็นแรงบันดาลใจ
- การรักตัวเองคือพื้นฐานในทุกขั้นตอนของ manifest ยิ่งเรารักตัวตนที่แท้จริงที่เราเป็นและที่กำลังจะเป็นมากเท่าไร เราจะถูกกระตุ้นด้วยสิ่งรอบตัวน้อยลงเท่านั้น
- ไว้วางใจในจักรวาล
- ความไว้วางใจอาจเป็นการล่วงรู้ว่า ถึงแม้เราจะไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่เราแค่รู้ว่ามันจะเกิด มันคือการล่วงรู้โดยปราศจากข้อกังขาว่า สิ่งต่าง ๆ ที่เราปรารถนาที่สุดกำลังมาหาเรา
- จิตดลบันดาลคือการยอมตาม ยอมตามต่อการเดินทางที่จะนำพาเราไปถึงจุดนั้น (เหมือนการไว้วางใจและยอมตาม Google Map)
- เมื่อเรามีความศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยมในจักรวาล ความกลัวและความกังขาย่อมไม่มีที่ทางจะดำรงอยู่ และสนับสนุนการยอมให้เราบ่มเพาะทัศนคติของการสำนึกรู้คุณ
- เวลาที่เราไม่วิตกกังวลว่าจะได้อะไรมาอย่างไร เพราะเรารู้ดีว่าเราจะได้มาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เราจะมีสติอยู่กับปัจจุบันได้มากขึ้น ฝึกความตระหนักรู้และความซาบซึ้งใจกับทุกสิ่งที่มีอยู่แล้วได้ดีขึ้น
- ความไม่อดทนรอคือศัตรูของ manifesting เพราะมันจะเข้าขัดขวาง จังหวะเวลาอันเหมาะสม (Devine Timing)
- ถ้าเราไว้วางใจในจังหวะเวลาอันเหมาะสม เราจะมีสติอยู่กับปัจจุบันและรู้ว่าทุกอย่างจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ควรเป็น
- กระบวนการรอคอยเป็นบททดสอบต่อความเชื่อในตัวเองและการเห็นคุณค่าในตัวเอง
- เวลาที่อะไรบางอย่างไม่เข้ามาหาเราโดยทันที จะเกิดพื้นที่ให้ความคิดเชิงลบ ความเชื่อที่บั่นทอน และความไม่มั่นใจ สัญชาตญาณอาจเอนเอียงไปสู่ความคิดลบ โดยยอมให้ความกลัวและความกังขาเข้ามา
- เคล็ดลับคือการปล่อยวางการรอคอย ปล่อยวางความรู้สึกว่าจำเป็นต้องควบคุมทิศทางการเดินทางให้เป็นไปตามกำหนดเป๊ะ ๆ
- เมื่อเราไว้วางใจในตัวเองและจักรวาล การปล่อยวางก็เป็นเรื่องง่าย
- ความไว้วางใจคือกาวที่ยึดขั้นตอนแห่งจิตดลบันดาลทั้งหมดไว้ด้วยกัน
- มองหาเรื่องบังเอิญ ช่วงเวลาประจวบเหมาะ และช่วงเวลาที่เราคิดอะไรบางอย่างและมันปรากฏต่อหน้า แล้วจดจำช่วงเวลาเหล่านั้น ยอมให้มัน “เสริมความไว้วางใจในจักรวาล” ให้เรา
*** สุดท้าย *** - จิตดลบันดาลไม่ใช่แค่พลังแห่งเวทมนตร์ แต่เป็นแนวปฏิบัติเพื่อการพัฒนาตนเองที่ใช้ดำเนินชีวิตได้ - จิตดลบันดาลไม่ใช่แค่การนำความอุดมสมบูรณ์เข้ามาสู่ชีวิต แต่เป็นสิ่งที่ช่วยให้เราโอบรับพลังของตนเองและปลดปล่อยศักยภาพที่เหลือเชื่อทั้งหมดในตัวออกมา - แก่นหลักของจิตดลบันดาลคือการเห็นคุณค่าในตนเอง ความเชื่อด้วยจิตใต้สำนึกว่าเราสมควรได้รับสิ่งใด และความสามารถในการรักตัวเอง - จิตดลบันดาลหนุนส่งให้เราบรรลุตัวตนที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้ ผลักดันให้เราก้าวไปสู่ตัวตนที่แท้จริง และเปี่ยมพลังที่สุดของเราเอง และค้นพบความแข็งแกร่งที่อยู่ในตัวเพื่อเอาชนะความเชื่อที่บั่นทอน ความกังขา ความกลัว และความไม่มั่นใจ - จิตดลบันดาลขอให้เราปล่อยวางสิ่งที่ไม่เอื้อต่อเราอีกต่อไป และจดจำไว้ว่าเราสามารถเป็นอะไรก็ตามที่เราปรารถนาจะเป็นได้ - ทุกสิ่งที่เราทำในแต่ละวันคือโอกาสสร้างเสริมความแข็งแกร่งให้พลังแห่งจิตดลบันดาล ทุกสิ่งที่เราทำคือการแสดงออกถึงการรักตนเองและทุกการตัดสินใจของเราสามารถยกระดับการเห็นคุณค่าในตนเองและขับเคลื่อนให้เราเข้าใกล้ความฝันมากขึ้น 📌 พิกัดหนังสือ https://shope.ee/5pjhzKFMww