ในที่สุดก็เดินทางมาถึง MI6 สำหรับแฟรนไชส์สายลับชื่อดังที่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อ 22 ปีที่แล้ว จนป่านนี้ป๋า Tom Cruise เอง ก็อายุ 56 หยก ๆ ไปแล้ว (ในหนัง Ethan Hunt คงจะอายุน้อยกว่านั้น) แต่ก็ยังวิ่งสู้ฟัด บู๊สะบั้นหั่นแหลก และยังเล่นจริงเจ็บจริงไม่ใช้สตั๊นท์
- Mission: Impossible (1996)
- Mission: Impossible II (2000)
- Mission: Impossible III (2006)
- Mission: Impossible – Ghost Protocol (2011)
- Mission: Impossible – Rogue Nation (2015)
- Mission: Impossible – Fallout (2018)
ภาคแรก ๆ หนังแฟรนไชส์เรื่องนี้ก็เป็นเหมือนแค่หนังแอ็คชั่นสายลับ ที่เว่อร์กว่าหนังแอ็คชั่นทั่วไปหน่อย ๆ และดูสนุก ๆ สไตล์หนังป๊อปคอร์น เราเองเพิ่งเริ่มประทับใจหนังแฟรนไชส์เรื่องนี้เป็นพิเศษครั้งแรกที่ภาค MI5 (2015) นี้เอง เพราะเขาดูเป็นหนังแอ็คชั่นที่มีการพัฒนาบทแล้ว เริ่มมีมุกตลกเยอะขึ้นให้คลายเครียด และการออกแบบฉากแอ็คชั่นก็ดูทำออกมาดียิ่ง ๆ ขึ้นกว่าเดิมโดยที่ยังคงเอกลักษณ์เดิมไว้ นั่นคือ ฉากเสี่ยงตายที่เล่นเอง สมจริง เสียวจริง ชนิดที่ CGI ทันสมัยแค่ไหนก็ให้เราไม่ได้
ปกติแล้ว แฟรนไชส์นี้ ไม่มีผู้กำกับใช้ซ้ำเลยสักภาค หรือแม้แต่นางเอกเอง ก็ไม่ใช้ซ้ำ แต่สำหรับภาคนี้ Christopher McQuarrie ผู้กำกับและมือเขียนบทคนเดิมจากภาคที่แล้ว ได้กลับมาขึ้นแท่นกำกับอีกครั้ง และ Rebecca Ferguson นางเอกจากภาคที่แล้ว ที่ได้ใจแฟน ๆ ทั่วโลก ก็กลับมารับบทสายลับอังกฤษประกบ Ethan Hunt อีกครั้ง รวมถึง Michelle Monaghan ที่เคยรับบท Julia อดีตภรรยาของ Ethan Hunt ใน MI3 กลับมาอีกด้วย
ภาคนี้จึงเสมือนเป็นภาคแรกที่มีเนื้อเรื่องต่อจากภาคก่อน ๆ อย่างจริงจังเสียที จากที่ปกติเรื่องราวของแต่ละภาคจะไม่ค่อยสัมพันธ์กันเท่าไหร่ ประมาณว่าก็ดูจบ ๆ ไปเป็นภาคใครภาคมัน โดยภาคนี้จะต่อจากภาคที่แล้ว… (ซึ่งถ้าใครชอบภาค 5 ก็น่าจะชอบภาคนี้ด้วย)
หลังจาก Solomon Lane (Sean Harris จาก Prometheus) หัวหน้าองค์กรลับ Syndicate ถูกจับโดยทีม IMF ของพระเอกเราเมื่อภาคที่แล้ว ภาคนี้ก็จะมีคนในองค์กรนั้นต้องการอิสรภาพให้กับ Solomon Lane และวางแผนจะใช้พลูโตเนียมทำระเบิดนิวเคลียร์เพื่อก่อการร้ายอีกต่างหาก ทำให้ Ethan Hunt (Tom Cruise คนเดิม จะใครล่ะ) และลูกทีมของเขา ได้แก่ Benji (Simon Pegg จาก Ready Player One) และ Luther (Ving Rhames จาก Dawn of the Dead) ต้องกลับมาทำภารกิจกันอีกครั้ง โดยภาคนี้ไม่มี Brandt (Jeremy Renner) แต่มี CIA August Walker (Henry Cavill จาก Batman v Superman) ถูกส่งมาเป็นคู่หู (หรือไม้เบื่อไม้เมา?) ของ Ethan Hunt แทน
ตัวบทก็มีการพัฒนา นอกจากจะเชื่อมโยงกับภาคอื่น ๆ มากขึ้นแล้ว ยังแอดวานซ์มากขึ้นในความซับซ้อนตลบตะแลงตีแสกหน้ามากกว่าสองรอบในเวลาสองชั่วโมงกว่า มีการพาไปสำรวจจิตใจและปมต่าง ๆ ของสายลับ Ethan Hunt และดูมี possibility ที่แฟรนไชส์เรื่องนี้จะขยายเส้นเรื่องและเติบโตไปได้อีก ถ้า Tom Cruise ซึ่ง ณ ปีนี้ก็อายุ 56 ขวบแล้ว จะยังคงเล่นไหวได้อยู่ (โดยส่วนตัวคิดว่า คนอย่างเขาน่าจะยังไฟต์ไปอีกหลายปี อย่างน้อยก็ต้องเท่า Harrison Ford ณ ตอนนี้ (ซึ่งอายุ 76 ขวบ))
ฉากแอ็คชั่นภาคนี้ มาครบทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศเช่นเดิม และพาเราไปชมวิว ชมโลเกชั่นสวย ๆ ทั่วโลกเหมือนเดิม ตั้งแต่ ปารีส ลอนดอน แคชเมียร์ ฯลฯ ที่สำคัญ หนังเรื่องนี้ไม่ใช่แค่มีฉากแอ็คชั่นที่จดจำเท่านั้น หากแต่ ทุก ๆ ฉากแอ็คชั่น (ย้ำ! ทุกฉาก) ไม่ว่าจะฉากกระโดดร่ม (HALO) ฉากต่อสู้ในส้วมขาวโพลน ฉากขับรถขับเรือไล่ล่า จนถึงฉากขับเฮลิคอปเตอร์ไล่ล่า มันสนุก มันอิ่ม ตื่นเต้น และน่าจดจำไปหมด
ทั้งนี้เขาหันมาใช้อาวุธเทคโนโลยีล้ำหน้าเว่อร์วังน้อยลง แต่ไปเน้นเว่อร์วังกับฉากต่อสู้ดิบ ๆ และไล่ล่า (ขาย BMW) แทน ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกอินและลุ้นกับหนังมากขึ้น หนังดูมีเสน่ห์มากขึ้น และก็มีฟีลที่ทำให้คนดูได้รู้สึกสักทีด้วยว่าอะไร ๆ มันไม่ได้ possible เสมอไปสำหรับ Tom Cruise (ปกติจะรู้สึกว่าเขาทำอะไร ๆ ก็ดูง่ายไปหมด)
ยกตัวอย่างเช่น ฉากขับรถไล่ล่าที่ตามหลักเราควรจะรู้สึกว่ามันเกร่อแล้วเพราะหนังแอ็คชั่นแทบทุกเรื่องมันก็มี แต่ MI6 ทำออกมาได้สดใหม่และโคตรตื่นเต้นเร้าใจสุด ๆ จนไปถึงฉากไคลแมกซ์ ซึ่งภายใต้ความเว่อร์เกินจริงทั้งหลายเหล่านี้มันยังดูสมจริง เพราะหนังเขาขายเรามาตลอดว่า เขาเล่นจริง เจ็บจริง เช่น กระโดดเครื่องบินจริง ขับฮ.จริง ปีนเขาจริง ฯลฯ ซึ่งพอเราได้เห็นซีนนั้นในหนังจริง ๆ เราก็จะเสียว ๆ กรี๊ด ๆ ไปกับ Tom Cruise เสมือนเราอยู่ในเหตุการณ์จริง
ส่วนตัวละครอื่น ๆ ในทีมยังคงเป็นสีสันและเป็นสิ่งที่ต้องมีในหนัง ขาดใครไปไม่ได้เลยจริง ๆ ขอยกนิ้วให้ทุกคน โดยเฉพาะ Simon Pegg ที่ไม่เคยทำให้เราผิดหวังในความตลกของเขา ส่วน Henry Cavill ก็ถือว่า cast มาได้ดี สมน้ำสมเนื้อดี ดีกว่าตอนเป็น Superman หลายขุมนัก
ที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ ฉากทั้งหลายเหล่านี้ จะไม่ตื่นเต้นสมจริงขนาดนี้ ถ้างานถ่ายภาพและงานสกอร์ที่ดี เราจึงต้องยกเครดิตให้งานถ่ายภาพของ Rob Hardy (จาก Annihilation) ที่ถ่ายภาพโลเกชั่นสวย ๆ มุมมองใหม่ ๆ และเพิ่มความเสียวให้กับคนดู และงานสกอร์ของ Lorne Balfe (จาก Pacific Rim: Uprising) ที่ช่วยสูบฉีดอะดรีนาลีนให้คนดูเป็นสองเท่า
ซึ่งต้องบอกเลยว่า งานภาพและงานสกอร์ดีงามขนาดนี้ ต้องดูในสเกลใหญ่เต็มจอและซาวนด์กระหึ่มรอบทิศทางใน IMAX เท่านั้นถึงจะคุ้มเต็มเม็ดเต็มหน่วยกับที่หนังเขาอุตส่าห์ตั้งใจทำมาให้เราดู
โดยสรุป นี่เป็นหนังแอ็คชั่นบล็อกบัสเตอร์ที่ต้องอวย ๆ ๆ เพราะแทบไม่สามารถหยิบยกอะไรมาติมาด่าได้เลยจริง ๆ มันสนุกมาก มันฟินมาก จนคิดว่าสำหรับหนังแนวนี้ ให้ 10/10 เลยก็คงจะไม่เว่อร์จนเกินไป แต่สุดท้ายก็ขอตัดสินใจหักคะแนนบ้างนิดหน่อยพอเป็นพิธี เพราะบางทีก็มีเรื่องบางเรื่องที่เรางง ๆ กับมันอยู่เหมือนกัน (จริง ๆ หนังอาจจะไม่ผิด แต่นี่อาจจะโง่เองหรือลืมเอง)
36 comments
Comments are closed.