นาคี ละครที่ประสบความสำเร็จด้านกระแสตอบรับอย่างมาก ทำให้พี่อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์ ได้มีโอกาสทำ นาคี 2 ต่อมา ในรูปแบบของภาพยนตร์ โดยเนื้อเรื่องของภาคนี้จะอยู่ในยุคปัจจุบัน (ดูจากรถ มือถือ ฯลฯ) คาดว่าน่าจะเกิดหลังภาคแรกหลายสิบปีอยู่
ทั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องดูละครหรือรู้เรื่องของภาคแรกมาก่อนก็พอดูรู้เรื่อง เพราะตอนเปิดเรื่องเค้ามีเล่าเท้าความแบบบรีฟ ๆ ให้ก่อน (คนที่เคยดูภาคแรกมาก็ถือว่าได้ทวนความเดิมตอนที่แล้ว) แต่มันจะมีช่วงที่เลยครึ่งของเรื่องไปแล้ว ที่คนที่ไม่เคยดูภาคแรกอาจจะ เอ๊ะ ๆ และดีเลย์ไปบ้างเล็กน้อย เพราะช่วงเปิดเรื่องหนังเท้าความถึงแต่ เจ้าแม่นาคี (แต้ว ณฐพร) กับอ้ายทศพล (เคน ภูภูมิ) แต่ไม่ได้พูดถึงตัวละครลำเจียก (อุ้ม ลักขณา) สาวชาวบ้านที่หลงรักอ้ายทศพล
ตัวละครจากภาคแรก (เจ้าแม่นาคี, ทศพล, และลำเจียก) ออกมาไม่มากในช่วงท้าย ๆ เพราะเรื่องนี้เน้นที่ตัวละครรุ่นใหม่แล้ว แต่แต้วก็โดดเด่นทะลุจอและทำให้หนังน่ามองขึ้นมากจริง ๆ ส่วนตัวละครรุ่นใหม่ ก็ต้องบอกว่าโชคดีที่ได้คู่ขวัญอย่างณเดชน์-ญาญ่า ซึ่งน่าดึงดูดทั้งรูปร่างหน้าตาและมีฝีมือทางการแสดงระดับหนึ่ง จึงไม่จมไปพร้อมกับเส้นเรื่องที่แบนราบ
ตัวละครเอกของภาคนี้คือ สร้อย (ญาญ่า) สาวชาวบ้านที่เคารพศรัทธาเจ้าแม่นาคีมาก กับสารวัตรคนใหม่ที่เพิ่งย้ายมา (ณเดชน์) ช่วงนี้มีศพตายปริศนาหลายศพ ทุกศพเหมือนโดนสัตว์ใหญ่ทำร้าย และต่างเป็นคู่กรณีของสร้อยทั้งสิ้น ทำให้ชาวบ้านเพ่งเล็งว่าเป็นฝีมือสร้อยและเชื่อว่าสร้อยเป็นร่างของพญานาค จนเกิดเป็นขบวนการล่าแม่มด (เหมือนอีคำแก้วหรือแต้วในภาคก่อน)
เนื้อเรื่องโดยรวม โดยเฉพาะครึ่งแรกของหนัง ยังมีความเป็นละครมากกว่าเป็นภาพยนตร์ เส้นเรื่องหลัก ๆ ไม่ได้ต่างอะไรจากภาคแรกมากนัก เหมือนเอาเรื่องเดิมมาอัพเกรด มาใส่สิ่งที่ภาคที่แล้วทำไมได้ลงไป เช่น… ซีจีดีขึ้น ถ่ายภาพสวยขึ้น ฯลฯ แต่ก็มีเพิ่มความ comedy ซิตคอมจากฝั่งตำรวจนิดหน่อย และเพิ่มพาร์ทสืบสวนสอบสวนมากขึ้นเพราะพระเอกเป็นนายตำรวจไฟแรง ไม่ได้เป็นนักศึกษาโบราณคดีเหมือนอ้ายทศพล แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ เราก็ยังคิดว่า เรื่องมันสเกลธรรมดาไปหรือเปล่าสำหรับการลงทุนเอาเจ้าแม่นาคีไปโลดแล่นบนจอภาพยนตร์
ถึงแม้ประเด็นเล็กใหญ่จะค่อนข้างซ้ำจากภาคแรก แต่ดีเทลเล็กน้อยที่สะท้อนสังคม (ถึงแม้จะไม่ใหม่นั่นแหละ) ก็เป็นสิ่งที่ช่วยยกระดับพล็อตเรื่องหลัก เช่น ความเชื่อของชาวบ้านที่ยังคงยึดอยู่กับสิ่งเหนือธรรมชาติหรือเทพนิยายปรัมปรา และมุกตลกเก่าอย่างตำรวจยศจ่าพูดจากวนโอ๊ยใส่หนุ่มหน้าละอ่อนก่อนจะพลิกลิ้นแทบไม่ทันเมื่อรู้ว่าเขาคือสารวัตรคนใหม่ ซึ่งสะท้อนระบอบการเลือกปฏิบัติจากชนชั้นเหมือนเดิม ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยผ่านไป เรื่องพวกนี้ก็ยังคงจริงในสังคมไทย แต่ก็ยังไปได้ไม่ไกลและไม่ลึกพออย่างที่ควรจะเป็นไปได้
ในขณะที่บทและการดำเนินเรื่องเป็นจุดอ่อนสำคัญ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ซีจีพญานาคในองก์สุดท้ายเริ่ดจริง ๆ อย่างกับมังกร Game of Thrones ซึ่งถือว่าทำได้สูงกว่ามาตรฐานซีจีหนังไทยอยู่ไม่น้อย และที่ดีที่สุดคืองานกำกับภาพที่สวยอินเตอร์มากของ สยมภู มุกดีพร้อม (Call Me by Your Name และลุงบุญมีระลึกชาติ) ที่ช่วยให้เรื่องที่เหมือนละค้อนละคอนในช่วงแรกนั้นดูไม่ละครจนเกินไป
ช่วงองก์สุดท้ายของหนัง ถ้าพูดมากก็อาจเป็นการสปอยล์ จึงพูดมากไม่ได้ แต่ก็ไม่พูดไม่ได้ เพราะเป็นพาร์ทที่คนดูค่อนข้างเสียงแตก สำหรับเรา เราคิดว่ามันไม่ใช่จุดพลิกผันและบทสรุปที่แย่ แถมถ้าทำดี ๆ มันอาจขยายจักรวาลหรือสร้างภาคต่อไปได้อีก แต่แค่ตอนนี้การเล่าเรื่องยังไม่ดีพอสมกับที่ทะเยอทะยาน ดังนั้นแทนที่เราจะ “ว้าว!” มันก็ได้แค่รู้สึกว่า “อิหยังวะ / WTF” สุดท้ายเราจึงคิดว่า “จบแบบเดิมที่จบในละคร มันก็สมบูรณ์แบบในตัวมันเองดีอยู่แล้ว”
โดยรวม เหมือนดูละครที่โปรดักชั่นดีขึ้นบนจอภาพยนตร์ ซึ่งก็บันเทิงนะ สนุกนะ แต่ก็ในระดับเดียวกับละครหลังข่าวทั่วไป เสียดายที่สเกลเรื่องไม่ใหญ่พอและเล่าเรื่องอย่างตื้นเขินทั้งที่อุตส่าห์ได้โอกาสมาทำเป็นหนังใหญ่แท้ ๆ แต่สิ่งที่น่าสนับสนุนคือ มันเป็นหนังไทยที่เราดูแล้วเราเห็นในความตั้งใจ ความพยายาม และความทะเยอทะยานที่จะทำหนังของบ้านวชิรบรรจงนะ ซึ่งคนไทยที่ทำหนังเป็นปกติบางคนยังขาดข้อสำคัญเหล่านี้
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 6.5/10
78 comments
Comments are closed.